พาราสาวะถี อรชุน
พฤติกรรมอย่างนี้ถามว่าผู้มีอำนาจยังจะไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไปหรือเพิ่มอำนาจให้อีกหรือ หลังจากที่ปรากฏข่าวองค์กรอิสระอย่างกกต.ประชุมลับสุดยอด ก่อนที่จะมีมติฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เรียกเงิน 4,800 ล้านบาท โดยให้แบ่งกันจ่ายฝ่ายละครึ่งคือ ม็อบกปปส.และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐแต่เพียงผู้เดียว
พฤติกรรมอย่างนี้ถามว่าผู้มีอำนาจยังจะไว้วางใจให้ทำหน้าที่ต่อไปหรือเพิ่มอำนาจให้อีกหรือ หลังจากที่ปรากฏข่าวองค์กรอิสระอย่างกกต.ประชุมลับสุดยอด ก่อนที่จะมีมติฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เรียกเงิน 4,800 ล้านบาท โดยให้แบ่งกันจ่ายฝ่ายละครึ่งคือ ม็อบกปปส.และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐแต่เพียงผู้เดียว
สำหรับม็อบมีเส้นนั้น กกต.เรียกค่าเสียหายจากกลุ่มบุคคลจำนวน 234 คน ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง ที่มีหลักฐานภาพถ่ายสามารถยืนยันตัวบุคคลได้ว่าเป็นใคร ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มกปปส. ในระดับแกนนำ ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ถาวร เสนเนียม สาทิตย์ วงศ์หนองเตย และพุทธะอิสระ เป็นต้น ตรงนี้คงไม่ต้องอธิบายเพราะมีความผิดที่ชัดเจน
ส่วนรายของยิ่งลักษณ์นั้นกกต.ให้เหตุผลว่า มีความผิดฐานละเมิดปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ตามพระราชบัญญัติความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ.2539 เนื่องจากปล่อยให้มีการจัดการเลือกตั้งทั้งที่มีการทักท้วงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแล้ว แปลกแต่จริง หากติดตามข่าวสารก็จะเห็นภาพว่า กกต.ทั้ง 5 คนก็น่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย เพราะแสดงท่าทีไม่อยากทำหน้าที่ชัดเจน
และยิ่งแปลกใจสงสัยหนักกันเข้าไปอีก เมื่อมีมติในการเรียกค่าเสียหายแล้ว ที่ประชุมกกต.ยังได้กำชับไม่ให้มีการเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน โดยยกข้ออ้างเกรงว่าจะเป็นการสร้างประเด็นความขัดแย้งขึ้นในสังคม จนมีคำถามเกิดขึ้นมาจากหลายฝ่ายว่า ใครกันแน่ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สังคมเกิดความขัดแย้ง เพราะไม่ได้ยืนอยู่บนหลักการของการปฏิบัติหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด
คำอธิบายของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล น่าจะเห็นภาพได้ชัด โดยเห็นว่าการเรียกค่าเสียหายจากยิ่งลักษณ์ไม่น่าจะถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะหลังจากที่มีการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรให้มีการเลือกตั้งใหม่ และมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ออกมา ความรับผิดชอบในการจัดการเลือกตั้งเป็นเรื่องของกกต.โดยตรงตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย
ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯรักษาการขณะนั้นจะทำหน้าที่ตามที่กฎหมายระบุไว้ให้เท่านั้น คือ จะต้องประสานให้หน่วยงานราชการทั้งหมดให้การสนับสนุนตามที่กกต.ร้องขอมา ซึ่งผู้ที่จะต้องตัดสินใจให้ ยกเลิกหรือดำเนินการเลือกตั้งต่อไปหรือไม่ก็คือกกต.เท่านั้น เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ที่กกต. แม้กระทั่งรัฐบาลรักษาการจะใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในเรื่องใดก็ตามยังต้องขออนุมัติจากกกต.แทบทุกเรื่อง
เพราะกกต.จะต้องเป็นผู้กำกับ อนุมัติการใช้จ่ายของรัฐบาล ดูแล ควบคุมการเลือกตั้งทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายบริหารจะเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้เลย แม้กระทั่งการประท้วง ปิดกั้นไม่ให้มีการเลือกตั้งโดย กปปส.หรือใครก็ตามก็เป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรง การเลือกตั้งที่เป็นโมฆะนั้นควรจะอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของกกต.ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และกกต.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางละเมิดด้วยตัวเองจึงน่าจะถูกต้อง
เรื่องนี้คนที่จะอธิบายคงหนีไม่พ้น สมชัย ศรีสุทธิยากร เพราะชี้แจงเก่ง ขนาดถ่ายรูปกับหอเอนปิซ่า ยังเขียนบทกลอน “ทำการใหญ่ให้ต้องเอียง” ได้เป็นวรรคเป็นเวร แต่หากดูสถานการณ์แล้วส่อว่าจะถูกวิจารณ์หนัก กกต.ทั้งคณะคงต้องจับมือกันชี้แจงแถลงไข อยากได้อำนาจแบบเต็มไม้เต็มมือ กับเรื่องแค่นี้ทำไมต้องงุบงิบทำด้วย อย่างนี้เขาเรียกว่าใจไม่ถึงเหมือนทำตัวเป็นคณะกรรมการไม่อยากจัดการเลือกตั้งนั่นเอง
เสียงวิจารณ์ถึงการที่ทหารบุกเข้าควบคุมตัว วัฒนา เมืองสุข ถึงบ้านพักก่อนนำตัวไปปรับทัศนคติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ในยามที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จตามมาตรา 44 คงไม่มีใครกล้ามองไปตรงจุดนั้น แต่เมื่อมองอย่างเป็นเหตุเป็นผลในมิติของการดำเนินการตามกฎหมายที่สุดท้าย ทหารก็ส่งตัวอดีตรัฐมนตรีพาณิชย์รายนี้ให้ตำรวจสน.นางเลิ้งดำเนินคดีในข้อหาผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550
ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมไม่ไปแจ้งความดำเนินคดีเสียตั้งแต่ต้น แล้วก็ปล่อยให้ตำรวจได้ดำเนินการไป เมื่อเลือกที่จะใช้กำลังจึงหนีไม่พ้นข้อครหาลุแก่อำนาจ เอาแต่ใจ เหมือนอย่างที่ จาตุรนต์ ฉายแสง แสดงความไม่เข้าใจต่อปฏิบัติการดังกล่าว กับปุจฉาจับไปด้วยเหตุผลอะไร เพราะถ้าลำดับเหตุการณ์แล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องวิจารณ์คสช.เพราะวัฒนาก็วิจารณ์คสช.มานานแล้ว เช่นเดียวกับคนอีกจำนวนมากก็วิจารณ์ โดยเฉพาะเรื่องที่พยายามจะอยู่ยาว
ดังนั้น หลังจากปะติดปะต่อข้อมูลดูแล้วน่าจะเป็นเพราะไปวิจารณ์ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่พูดถึง ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีอย่างไม่เหมาะสม ก่อนที่เดอะอ๋อยจะตั้งข้อสังเกตต่อว่าการเอาตัวคนที่เห็นต่างไปปรับทัศนคตินั้น ไม่มีประโยชน์อะไร เนื่องจากคนที่มาทำหน้าที่นั้นไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ ได้แต่พูดไปตามที่สั่งกันมา
อย่างไรก็ตาม กรณีของวัฒนาในสายตาของนักการเมืองผู้ยึดมั่นประชาธิปไตยมองว่า น่าเกลียด เพราะการลุแก่อำนาจ ดูแล้วจะเห็นว่า มาจากความโกรธเป็นส่วนตัวที่กำลังจะกลายเป็นใครแตะต้องไม่ได้ เนื่องจากนึกไม่ออกว่าคำไหนที่วัฒนาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊คนั้นเป็นเท็จ แต่หากมองถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะหลังก็จะเห็นว่าพี่ใหญ่เริ่มโชว์บารมีมากขึ้น
เห็นได้จากการให้สัมภาษณ์อย่างถี่ยิบในทุกเรื่อง ตอบทุกคำถาม จนล่าสุดมีแผนที่จะจัดระเบียบรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล โดยอ้างการเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศมาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นี่แหละคือความยากของอำนาจที่ได้มาโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกของประชาชน จะทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดทั้งที่เป็นงานปกติธรรมดา ต้องหาเหตุหาผลมาอ้างเพื่อให้เกิดความชอบธรรม
ตั้งป้อมกันมาตลอดต่อกรณี สรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่ยอมหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยมีสมาคมวิชาชีพสองสำนักออกแถลงการณ์เรียกร้องถามถึงต่อมจริยธรรม คงต้องฟังที่ พนา ทองมีอาคม แสดงความเห็นล่าสุด สมาคมวิชาชีพกำลังไปปิดกั้นเสรีภาพสื่อของสรยุทธหรือเปล่า ถ้าต่อไปเกิดมีรัฐบาลอันธพาลที่หาคดีให้สื่อ พอให้สื่อถูกข้อกล่าวหาหรือถูกศาลชั้นต้นพิพากษา สื่อนั้นก็ต้องยุติบทบาทไป
ที่น่าสนใจมากอีกเรื่องคือเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน สมาคมวิชาชีพประกอบด้วยนักวิชาชีพ กรรมการหรือคนในนั้นล้วนยังชีพอยู่ด้วยรายได้จากเงินก้อนเดียวกันและก็แย่งกันหาเงินอยู่กับสรยุทธ หากสรยุทธที่มีลักษณะเป็นแม่เหล็กของวงการอ่านข่าวหยุดงานเสียคนหนึ่ง เงินโฆษณามหาศาลก็จะวิ่งไปหารายการข่าวอื่นๆ ไม่เหมือนแจ๊กพ็อตแตกก็เหมือนปิดตาตีหม้อ เงินทองหรือท็อปฟี่ก็คงไหลกันกระจาย ที่น่าสนใจคือ ต้องดูว่าสมาคมวิชาชีพจะทำเรื่องนี้ได้หมดจด เป็นธรรม และเหมาะสมที่จะไว้ใจให้กำกับกันเองได้แค่ไหน