กินยาผิดซอง.?แฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
นายพิชญ์ โพธารามิก ซีอีโอใหญ่ของ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วน และนักลงทุนรายย่อยประเภทแมงเม่า สามารถเข้าถึงนรก และสวรรค์ได้อย่างลึกซึ้งพร้อมกันไปจากมาตรการซื้อหุ้นคืนอันแสนพิสดาร
นายพิชญ์ โพธารามิก ซีอีโอใหญ่ของ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วน และนักลงทุนรายย่อยประเภทแมงเม่า สามารถเข้าถึงนรก และสวรรค์ได้อย่างลึกซึ้งพร้อมกันไปจากมาตรการซื้อหุ้นคืนอันแสนพิสดาร
เริ่มต้น ตั้งแต่ราคาหุ้น JAS วิ่งขึ้นก่อนปิดตลาดเที่ยงวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม จากแรงซื้อที่หนาแน่น ก่อนที่จะมีหนังสือแจ้งของนายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน เพื่อบริหารทางการเงิน กำหนดวงเงินสูงสุดที่ใช้ในการซื้อหุ้นคืนประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยแบบรายงานการซื้อหุ้นคืน ระบุว่าจะซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเป็นการทั่วไป 1,426 ล้านหุ้น คิดเป็น 20% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดราคาเสนอซื้อ 5 บาทต่อหุ้น
เงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ คือ ตั้งโต๊ะซื้อ จากนักลงทุน “เป็นการทั่วไป” …ซึ่งภาษากฎหมายตีความอีกอย่างว่า จะซื้อจากบางคนเท่านั้น ไม่ได้ซื้อจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
เพียงแต่มีเงื่อนไขรองลงไป ระบุว่าจะเอาราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน มากำหนดราคารับซื้อ “จะประมาณ” 5 บาท
นายพิชญ์ ระบุว่า ณ สิ้นปี 2558 บริษัทมีกำไรสะสม 2,298 ล้านบาท และเหตุผลที่บริษัทซื้อหุ้นคืน เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) รวมถึงเพิ่มอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณแก่ผู้ลงทุนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัท นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่บริษัทซื้อคืน จะไม่มีสิทธิในการรับเงินปันผล และทำให้อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น
เปิดตลาดภาคบ่ายมา ปรากฏว่า ตลาดยอมให้เทรดหุ้นกันได้ 2 นาที โดยที่ราคาหุ้นวิ่งแรงไปทะลุ 3.92 บาท แล้วก็หยุดซื้อขายด้วยเครื่องหมาย H เพราะตลาดมองคำอธิบายว่าที่มาของราคาหุ้น 5 บาทที่จะซื้อคืนนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร ทาง JAS ตอบไม่ได้ จึงขึ้นเครื่องหายห้ามซื้อขายชั่วคราว
กลายเป็นโชคดีของคนที่ซื้อไม่ทันไป เพราะในเวลาต่อมา มีเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมจากบริษัทอีกว่า ที่จะซื้อหุ้นคืนนั้น เป็นการ “ตั้งโต๊ะซื้อเหมือนเดิมราคาประมาณ 5 บาท แต่เป็นราคาที่ยังไม่แน่นอน”…
ที่ไม่แน่นอนเพราะบริษัทแจงมาว่ามีข้อมูล 2 ส่วนที่ต้องพิจารณาคือหากใช้ราคาย้อนหลัง 1 เดือน ราคาเฉลี่ยซื้อคืนจะอยู่ที่ 2.96 บาท
หากเป็นกรณีที่สองคือ ใช้ราคาย้อนหลัง 1 ปี จะทำให้ราคาอยู่ที่ระดับ 5.01 บาท
คำอธิบายดังกล่าว ในมุมของกฎหมาย ถือว่าเป็นการ “เอาตัวรอด” เพราะ ตามกฎกระทรวงพาณิชย์ฉบับ 2544 ที่เซ็นลงนามโดย นายอดิศัย โพธารามิก รมว.พาณิชย์ขณะนั้น ระบุชัดใน ข้อ 6 (ค) ว่าในกรณีที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องใช้ราคาย้อนหลัง 30 วันเท่านั้น แต่กรณีนี้เป็นการรับซื้อคืนในข้อ 8 ของกฎกระทรวง ที่เป็นการตั้งโต๊ะ ดังนั้น จึงอาจจะใช้ราคาใดๆ ก็ได้ตามที่บริษัทกำหนด
คำถามก็คือ เกณฑ์ใดจะถูกต้องสำหรับ JAS เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเลี่ยงไม่ใช้ข้อ 6 (ค) แล้วไปใช้ ข้อ 8 อย่างเดียวจะเข้าข่าย “เลือกปฏิบัติได้หรือไม่”
เรื่องนี้ วงการที่ปรึกษาการเงินในตลาดหุ้นไทย พากันมึนไปตามๆ กัน เพราะเป็นกรณีที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะงานนี้ พิชญ์มาเหนือเมฆจริงๆ ยากจะล่วงรู้ว่าวัตถุประสงค์คืออะไร
สมมุติฐานของวงการที่ปรึกษาการเงินทั้งหลายคือ งานนี้ ต้องมีอะไรนอกเหนือจากการซื้อหุ้นคืนธรรมดาแน่นอน เพียงแต่คนที่จะไขข้อกระจ่างได้ ต้องเป็นตลาดหุ้นที่จะช่วยแงะออกมาให้ได้ เพราะเจ้าตัวไม่ยอมเผยออกมา…กบดานเงียบเชียบทีเดียว ทั้งที่เวลาจะต้องจ่ายเงินให้กสทช. ใกล้เข้ามาทุกขณะ เหลืออีก แค่ 7 วันทำการเท่านั้น
คำถามต่อไปก็คือ แล้วจะเอาเงินจากไหน คำตอบก็ชัดเจนว่ามีเงิน เพราะนายพิชญ์ ระบุว่า มีกำไรสะสมอยู่ 2,298 ล้านบาท…แต่ต่อมาระบุเพิ่มเติมอีกว่า มีเงินปันผลบันทึกรับจากบริษัทลูกคือ อคิวเมนท์ อีก 5,952 ล้านบาท จึงไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีเงินจ่าย
ส่วนเรื่องจะใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อหุ้นคืนมากมายอย่างนี้ แล้วเรื่องที่จะจ่ายค่าใบอนุญาต 4 จีที่ประมูลได้มาล่ะ…ไม่ได้มีการเอ่ยถึงแม้แต่น้อย…ปล่อยให้นักลงทุนพากันงุนงง
เมื่ออึมครึมกับการกระทำเช่นนี้ จึงเข้าทางของบรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายอย่างยิ่ง เพราะใครก็รู้ว่า นักวิเคราะห์ กับนายพิชญ์นั้น ชอบกินเกาหลาไม่ใส่เส้นกันอยู่มายาวนานหลายปีแล้ว
คำแนะนำให้ขายจึงออกมาเกลื่อนกลาด ส่วนใหญ่ ราคาที่นักวิเคราะห์ให้มาเมื่อวานนี้ จึงอยูที่ระดับ 2.80 บาท เป็นหลัก อาจมีต่ำกว่านั้นบ้าง แต่สูงกว่า ยังไม่เห็น
อยาก เล่นท่ายาก…ก็ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเสียหายต่อราคาหุ้นในอนาคตค่อนข้างมาก
เสียแรงเป็นหุ้นยอดนิยมมายาวนาน ดันมากลายเป็นกิ้งกือหกคะเมน ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เอง…เฮ้อ