สงครามการเงิน?โมนิก้าและทีมงาน
*ประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องจั่วหัวแรงๆ ล้วนมาจากท่าทีของกลุ่มคนที่อยู่ในตลาดหุ้น และนอกตลาดหุ้น ชอบอ้างตัวเป็นคนดีศรีสยามเป็นประจำ พอถึงเวลาจริงๆ กลับกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ!เดี๊ยนถึงเกิดความรู้สึกรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดก็เป็นเพียงการสร้างความน่าเชื่อถือแบบกำมะลอ ซึ่งไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับการลงทุนในยุคที่ทุกอย่างยังอุ้มกระเตงกันแบบนี้เจ้าค่ะ
*ประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องจั่วหัวแรงๆ ล้วนมาจากท่าทีของกลุ่มคนที่อยู่ในตลาดหุ้น และนอกตลาดหุ้น ชอบอ้างตัวเป็นคนดีศรีสยามเป็นประจำ พอถึงเวลาจริงๆ กลับกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ!เดี๊ยนถึงเกิดความรู้สึกรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะท้ายที่สุดก็เป็นเพียงการสร้างความน่าเชื่อถือแบบกำมะลอ ซึ่งไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับการลงทุนในยุคที่ทุกอย่างยังอุ้มกระเตงกันแบบนี้เจ้าค่ะ
*เนื่องจากมันถึงเวลาที่นักลงทุนต้องหัดเรียนรู้บางอย่างด้วยตัวเอง ไม่มีใครสามารถอุ้มชูได้ตลอดไป “โมนิก้า” ถึงพยายามเสริมเขี้ยวเล็บให้กับนักเล่นเป็นประจำ เพราะเป็นหนทางเดียวที่พอจะทำให้เห็นถึงความไม่ปกติ จึงอย่ามองอะไรดีแบบสุดโต่งเป็นอันขาด หลังเห็นกันอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่า ทุกอย่างเป็นมันนี่เกม!การกระทำที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หลายกรณีมีอะไรบางอย่างชวนให้สงสัยไม่ใช่น้อยนะคะ
*ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจที่ดัชนีไม่สามารถกระชากขึ้นไปสร้างแนวรับใหม่ที่สูงกว่าเดิม และทำให้ทฤษฎีหุ้นขึ้นแรงก่อนหยุดยาวในวันสงกรานต์ กลายเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตที่ไม่มีนัยสำหรับปีนี้ เพราะตัวแปรที่มีอิทธิพลสำหรับการลงทุนเที่ยวนี้ มีแต่เรื่องชวนหัวทั้งนั้น วานนี้ถึงเห็นดัชนีรูดลงมาปิดที่ 1,373.59 จุด ลบไป 26.68 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.27 หมื่นล้านบาทไงล่ะค่ะ
*ไหนๆ เปิดประเด็นตรงนี้ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอเม้าท์เรื่องท่าทีของ ADVANCซึ่งแสดงบทเป็นตาอยู่อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเดินเกมแบบสองหน้า เดี๊ยนถือเป็นการเดินหมากชั้นเซียนที่ยากจะลอกเลียนแบบ เพราะมองในมุมไหน ด้านไหน ก็เป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้เต็มๆ แต่ถึงกระนั้นต้องไม่ลืมว่า นี่คือทุกขลาภรอบใหม่ที่ผู้ถือหุ้นต้องเตรียมใจให้ดีๆ หลังหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 163 บาท ลบไป 12 บาท หรือลงไป 6.90% ด้วยมูลค่า 4.16 พันล้านบาท มันเป็นจังหวะที่นักเล่นต้องพิจารณาความเสี่ยงกันเอาเองนะคะ
*ส่วนที่โดนหางเลขจากเรื่องนี้เต็มๆ “โมนิก้า” ขอโฟกัสไปที่หุ้นดีแตก DTACเพราะตกอยู่ในที่นั่งลำบากอย่างเห็นได้ชัด และทำให้การแข่งขันกับเจ้าอื่น กลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาในทันที วานนี้ถึงเห็นหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ 34.75 บาท ลบไป 3.25 บาท หรือลงไป 8.55% ด้วยมูลค่า 2 พันล้านบาท เดี๊ยนถือเป็นความเพลี่ยงพล้ำที่นักลงทุนมองดูแล้ว ต้องส่ายหน้าหนีกันเป็นแถวเจ้าค่ะ
*ตรงกันข้ามกับในรายของ TRUEเพราะรายนี้กินรวบหมดทุกอย่างไว้ที่ตัวเองเพียงคนเดียว โอกาสทางธุรกิจถึงขึ้นอยู่กับทำได้ตามแผนขนาดไหน? เพราะองค์ประกอบหลายอย่างเข้าทางเต็มๆ ราคาหุ้นถึงทรุดตัวลงมายืนที่ 7.20 บาท ลบไป 0.10 บาท ซึ่งเป็นการย้ำหัวหมุดตัวเดิมว่า ทุกคนค่อนข้างมั่นใจกับฝีมือของมังกรน้อย จึงไม่มีใครคิดจะทิ้งหุ้นตัวนี้พะยะค่ะ
*ส่วนคนที่สุดสวิงริงโก้ในรอบนี้กลายเป็นพ่อดอกมะลิ JASจู่ๆ เด้งขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะจบลงด้วยการปิดที่ 3.52 บาท บวกไป 0.12 บาท หรือขึ้นไป 3.50% “โมนิก้า” ถือเป็นความผิดแผกจากธรรมชาติไปค่อนข้างเยอะ แถมคนในสังคมฟันธงว่า การกระทำดังกล่าวเป็นเหมือนการสมรู้ร่วมคิด และเมื่อไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบถี่ยิบ มันมีโอกาสโดนสอยค่อนข้างสูง แมงเม่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษนะคะ
*เม้าท์ถึงตรงนี้ก็ต้องพูดถึงหุ้น KBANKเป็นรายถัดมาในทันที เพราะกลายเป็นหุ้นที่ซวย 3 เด้ง โดยเด้งแรกมาจากXD 3.50 บาท ส่วนเด้งที่สองมาจากลดดอกเบี้ย 0.25% บวกกับเด้งที่สามเจอภาวการณ์ลงทุนไม่เป็นใจ หุ้นถึงรูดลงมาปิดที่ 160 บาท ลบไป 8 บาท หรือลงไป 4.70% “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจจริงๆ แถมกูรูมองไตรมาส 1 กำไรลดไม่ต่ำกว่า 5% แบบนี้..ลงไปรอรับ 150 บาทเลยเจ้าค่ะ
*เดิมทีก็คิดว่า รายข้างต้นอาการน่าเป็นห่วง พอมาดูอาการของ SCBกับ BBLก็ต้องเปลี่ยนใจในทันที เพราะรายแรกโดนกดลงไปอยู่ที่ 131 บาท ลบไป 7.50 บาท หรือลงไป 5.40% ส่วนรายหลังโดนซัดลงมากองอยู่ที่ 167.50 บาท ลบไป 10 บาท หรือลงไป 5.60% มันเป็นภาพที่ฟ้องว่า กองทุนไม่อยากถือหุ้นในช่วงวันหยุดยาว จึงถล่มหุ้นทิ้งแบบไม่เหลือซาก จนมองไม่เห็นจุดเด้งกลับไงล่ะค่ะ
*อีกหนึ่งเคสที่ “โมนิก้า” อยากให้แฟนคลับติดตามดูให้ดีๆ คงหนีไม่พ้นหุ้นฮอตอย่าง RPC จู่ๆ เด้งขึ้นพรวดพราดขึ้นมาปิดที่ 0.94 บาท บวกไป 0.21 บาท หรือขึ้นไป 28% ขณะที่หุ้นตัวลูก SAMCOพุ่งขึ้นมาปิดที่ 4.16 บาท บวกไป 0.52 บาท หรือขึ้นไป 14% เดี๊ยนมองว่า ทั้งหมดมาจากคณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาด คือ ให้ ปตท. ชำระค่าเสียหายจากการบอกเลิกสัญญากับบริษัทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในจำนวนเงิน 390 ล้านบาทต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 55 จนถึงวันนี้ แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นมันยังไม่จบนะตัวเอง
*ปิดท้ายกันที่ข่าวคาวของผู้คนในแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งไปพัวพันกับเรื่องฟอกเงินเต็มๆ แถมเป็นข้อมูลที่อ้างอิงมาจาก “ปานามาเปเปอร์” เดี๊ยนถือเป็นเรื่องที่ผู้คนในตลาดหุ้นต้องตื่นตัวเสียที หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ..ตลาดหุ้นจะพังก็เพราะพวกคนดี เพราะวันนี้เลือกทำเฉพาะบางกรณี และกว่าจะทำแต่ละเรื่องออกมาทั้งที ผู้คนก็ลืมเลือนไปหมดแล้วนะคุณพี่!