ตีหัวเข้าบ้าน!โมนิก้าและทีมงาน
*วานนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ตกอยู่ในภาวะอึ้งกิมกี่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หลังเห็นตลาดหุ้นอันเป็นที่รัก กระชากขึ้นแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ก่อนจะลงเอ่ยด้วยการปิดที่ 1,398.77 จุด บวกไป 13.35 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.78 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ชาวบ้านชาวช่องปิดแดงเถือกกันอย่างถ้วนหน้า มันเป็นอารมณ์ที่ทำให้รู้ว่าอย่าไปยึดติดกับอะไรมากมาย เพราะมันเป็นเกมตีหัวเข้าบ้านที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
*วานนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ตกอยู่ในภาวะอึ้งกิมกี่ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หลังเห็นตลาดหุ้นอันเป็นที่รัก กระชากขึ้นแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ก่อนจะลงเอ่ยด้วยการปิดที่ 1,398.77 จุด บวกไป 13.35 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.78 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ชาวบ้านชาวช่องปิดแดงเถือกกันอย่างถ้วนหน้า มันเป็นอารมณ์ที่ทำให้รู้ว่าอย่าไปยึดติดกับอะไรมากมาย เพราะมันเป็นเกมตีหัวเข้าบ้านที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
*เดี๊ยนถึงพยายามย้ำเป็นประจำว่า หากคิดจะลงทุนต้องเกาะติดทุกช็อต และพยายามเน้นการทำรอบมากกว่ากอดหุ้น หลังเห็นกันย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ หุ้นใหญ่ยังวนเวียนบนกรอบเดิม หุ้นขนาดกลางเริ่มออกมาวาดลวดลายมากขึ้น ส่วนหุ้นขนาดเล็กก็พุ่งกระฉูดราวกับวันปล่อยผี ซึ่งเป็นเรื่องที่เดี๊ยนพยายามทำความเข้าใจกับแฟนคลับตลอดเวลา เพื่อไม่ให้พลาดช็อตสำคัญไงล่ะค่ะ
*เปรียบไปก็เหมือนกับข่าวลือเกี่ยวกับการปลด รมว.คลัง ที่แพร่สะพัดไปทั่วห้องค้าต่างๆ “โมนิก้า” ถือเป็นการจุดชนวนร่องรอยอะไรบ้างอย่าง บวกกับข้อมูลเก่าในอดีตมักเป็นไปในทาง “ข่าวลือมักเป็นจริงเสมอ” จึงขอสันนิษฐานสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ น่าจะมีมูลเยอะพอสมควรเลยแหละ! ส่วนประเด็นดังกล่าวจะมีคนนำไปวิเคราะห์ต่อ หรือฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ก็ว่ากันไปนะคะ
*เหมือนกับหุ้นดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง TPBI ยังเป็นตัวเลือกแรกที่ “โมนิก้า” มักจะพูดถึงเป็นประจำ และเหตุผลที่มีการพูดถึงเยอะแยะก็มาจากผลงานที่ค่อนข้างโดดเด่น วานนี้ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 18.60 บาท บวกไป 1.70 บาท หรือขึ้นไป 10% ด้วยมูลค่า 730 ล้านบาท มันเป็นช็อตที่มาตามนัดแบบนี้ น่าจะถึงเวลาเทขายหุ้นทำกำไรออกไปได้แล้ว เพราะมันเป็นจังหวะของการตักตวงกำไรสั้นๆ เจ้าค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ IRPC ถ้าดูไซเคิลการเคลื่อนตัวบนกรอบ 5 บาทเป็นหลัก “โมนิก้า” พูดได้ทันทีว่าตลอดระยะเวลา 1 เดือนเต็มๆ คนเล่นรอบได้กำไรแบบสบายใจเฉิบ หากหลุดลงมาต่ำกว่ากรอบดังกล่าวก็ซื้อ..หากทะยานเกินกรอบดังกล่าวก็ขาย ขณะที่วานนี้หุ้นวิ่งขึ้นมาปิด 5.25 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือขึ้นไป 3% ด้วยมูลค่า 860 ล้านบาท มันเป็นจังหวะที่ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะตัวเอง
*ส่วนในรายของ JAS กลายเป็นหุ้นที่ขาซิ่งติดใจกันยกใหญ่ หลังจากทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงแบบไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า วานนี้ก็ยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรงต่อไปได้อีกหนึ่งวัน จนสุดท้ายหุ้นขึ้นมาปิดที่ 4.12 บาท บวกไป 0.12 บาท หรือขึ้นไป 3% ด้วยมูลค่า 2.95 พันล้านบาท พร้อมกับปรากฏสัญญาณค้อนหัวกลับในช่วงปิดตลาด “โมนิก้า” ถือเป็นการสัญญาณที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะเหมือนเป็นการยอกให้รู้ว่าเริ่มไปต่อไม่ไหวแล้วนะซี
*ผิดกับในรายของปูนใหญ่ SCC หลังจากรักษาฐานแนวรับ 440 บาท ตรงเส้น 75 วันได้อย่างเหนี่ยวแน่น พร้อมกับถีบตัวขึ้นมาแข็งแกร่ง จนวานนี้ขยับขึ้นมาปิดที่ 466 บาท บวกไป 16 บาท หรือขึ้นไป 3.60% ด้วยมูลค่า 1.36 พันล้านบาท “โมนิก้า” ก็รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นการเปลี่ยนโพซิชั่นเป็นขาขึ้นช่วงสั้นๆ และมีความหวังขึ้นมาในทันทีว่า หากฝ่าเส้น 200 วันตรงบริเวณ 470 บาทขึ้นไปได้ ให้มองยอดเก่าที่ 480 บาทเลยเจ้าค่ะ
*ไหนๆ มองหุ้นด้วยความหวังที่ล้นปรี่ “โมนิก้า” ขอชำเลืองตามองที่หุ้นยางมะตอย TASCO ซึ่งกระชากขึ้นมาปิดที่ 25 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 2.90% ด้วยมูลค่า 720 ล้านบาท เหมือนเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่ารอบนี้มีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 27 บาทอีกครั้ง หากผ่านไปแบบฉลุย ..วิ่งยาวแน่ๆ หากผ่านไปไม่ไหวจริงๆ.. ก็ตั้งไข่ใหม่ วันนี้ถึงต้องหัดทำตัวให้ไวไงล่ะจ๊ะ
*เมื่อบรรยากาศถูกขับเคลื่อนด้วยแรงซื้อของกองทุน หุ้นเดินเรือเลยฉวยโอกาสกลับมาติดท๊อปชาร์ตอีกครั้ง และดาวเด่นในครั้งนี้ได้แก่ TTA โดยเหตุผลที่ถูกนำมาอธิบายในเที่ยวนี้เป็นเรื่องค่าระวางเรือเริ่มขยับสูงขึ้นล้วนๆ วานนี้ถึงเห็นหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 9.35 บาท บวกไป 1.05 บาท หรือขึ้นไป 12.65% ด้วยมูลค่า 540 ล้านบาท “โมนิก้า” พูดได้ทันทีว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหุ้นวิ่ง “ขึ้นแล้วขึ้นเลย” แถมยังต้องมาตั้งต้นแถว 8 บาทแบบนี้..ต้องดูกันเอาเองนะจะบอกให้..อิอิ
*เช่นเดียวกับในรายของหุ้นรถเครน CRANE เดี๊ยนสงสัยเจ้ามือยังออกของไม่หมดกระมัง จึงต้องดันหุ้นต่อไปอีกหนึ่งยก วานนี้ถึงเห็นหุ้นขึ้นมาปิดที่ 4.12 บาท บวกไป 0.46 บาท หรือขึ้นไป 12.60% ด้วยมูลค่า 140 ล้านบาท “โมนิก้า” จึงขอเม้าท์แบบเผาขนว่า ยามรักก็ช่วยกันดันหุ้นขึ้นไป 5-6 บาท พอหมดเยื้อใยก็ปล่อยหุ้นร่วงเหลือแค่ 2-3 บาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานะคะ
*ประเด็นตรงนี้เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ CHEWA ไปๆ มาๆ ก็มีเสียงร่ำลืออย่างหนาหูว่า เสี่ย ป. (เคยเป็นผู้บริหารบริษัทในตลาดหุ้นด้วย) รับหน้าเสื่อดูแลทรงหุ้นอย่างเป็นทางการ พร้อมกับมีการจัดสรรปันส่วนหุ้นออกไปเยอะแยะ พอถึงเวลาจริงๆ กลับไม่ยอมทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ความก็เลยแตกดังโพละ หุ้นถึงร่วงลงมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายปิดที่ 1.72 บาท บวกไป 0.04 บาท หรือลงไป 2.20%ไงล่ะค่ะ