KTP สมบัติผลัดกันชม
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ดีลซื้อขายหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ยังไม่เสร็จ ซึ่งมีการออกมาชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการกำหนดให้ธุรกรรมการซื้อขายดังกล่าวเสร็จสิ้นสมบูรณ์ วันที่ 18 เมษายน 2559 แต่กำหนดการดังกล่าวได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นประมาณกลางปี 2559
สภาแมงเม่า : ดร.สมชาย
คุณชุติมา จากบางบอน กรุงเทพฯ พูดถึงสถานการณ์ของ บริษัท เคปเปลไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KTP ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นสักเท่าไหร่ ส่วนราคาหุ้นก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามคาดการณ์ว่า ผลประกอบการจะดีขึ้นเป็นลำดับ สุดท้ายก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เพราะเมื่อถึงสิ้นปีก็ประกาศผลขาดทุนอยู่ดี จึงอยากรู้ว่า การเปลี่ยนกลุ่มทุนใหม่เข้ามาถือหุ้นใหญ่ จะทำให้บริษัทนี้ดีขึ้นไหมค่ะ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ดีลซื้อขายหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ยังไม่เสร็จ ซึ่งมีการออกมาชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการกำหนดให้ธุรกรรมการซื้อขายดังกล่าวเสร็จสิ้นสมบูรณ์ วันที่ 18 เมษายน 2559 แต่กำหนดการดังกล่าวได้ถูกเลื่อนออกไปเป็นประมาณกลางปี 2559
เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการเจรจาและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมดังกล่าวให้เสร็จสิ้น โดยผู้ซื้อได้
ทำการตรวจสอบสถานะของบริษัทฯ (Due Diligence) เสร็จสิ้นเป็นส่วนใหญ่แล้ว ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายทั้งสองฝ่ายยังคงประสงค์ทำธุรกรรมดังกล่าวต่อไป
ข้อมูลตรงนี้ทำให้อาจารย์ถึงกับลุกขึ้นในทันที เพราะมันอาจหมายถึงความไม่แน่ใจอะไรบ้างอย่างเริ่มเกิดขึ้นกับฝั่งผู้ซื้อ ถึงทำให้ดีลดังกล่าวต้องเลื่อนออกไปเป็นกลางปี อีกทั้งมีตัวอย่างบางดีลที่ลงเอ่ยด้วยการยุติการเข้าซื้อ จึงทำให้คนบางคนสงสัยว่า ดีลไม่ดันหรือเปล่า?
ฉะนั้นการที่บริษัทออกมาชี้แจงถึงการซื้อขายหุ้นร้อยละ 45.45 ของ บริษัท เคปเปลไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (“KTP”) ระหว่าง บริษัท ฮ่องกง คิง ไว เรียลเอสเตท กรุ๊ป จำกัด (“ผู้ซื้อ”) และบริษัท เคปเปล แลนด์ ลิมิเต็ด และบริษัท เคปเปล แลนด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส พีทีอี แอลทีดี (รวมเรียกว่า “ผู้ขาย”) จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันว่า แค่ดีลซื้อกิจการยังทำไม่ทันเวลา แล้วจะกอบกู้บริษัทให้กลับมาทำกำไรอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
ที่สำคัญเมื่อดูจากงบการเงินด้านล่าง ยิ่งทำให้รู้สึกหวั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน และในปัจจุบันก็มีคู่แข่งค่อนข้างเยอะ การจะแทรกขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย อาจารย์จึงขอมองข้ามหุ้นตัวนี้ไปก่อนนะครับ
ปี 55 | ปี 56 | ปี 57 | ปี 58 | |
รายได้รวม | 136.35 | 148.75 | 361.08 | 321.11 |
กำไรสุทธิ | -100.18 | -140.44 | -56.38 | -67.26 |
กำไรต่อหุ้น (บาท) | -0.46 | -0.64 | -0.26 | -0.31 |
(หน่วย : ล้านบาท)
เนื่องจากการขึ้นแรงของหุ้นเที่ยวนี้เป็นผลมาจากการเก็งกันว่า กลุ่มทุนใหม่จะซื้อหุ้นต่อจากกลุ่มทุนเก่าในราคาที่ค่อนข้างสูง(ส่วนใหญ่ซื้อที่ 2 เท่าของบุ๊ค ขณะที่บุ๊คของหุ้นตัวนี้อยู่ที่ 0.71 บาท) ซึ่งเป็นผลทางจิตวิทยาในระยะสั้นๆ พอทุกอย่างประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ก็ถือว่าจบเกมกันไป
ต่อจากนั้นถึงจะมาดูที่ความสามารถในการทำกำไร ซึ่งอาจารย์ไม่แน่ใจว่า กลุ่มทุนใหม่จะมีความสามารถพอ และถ้าทำไม่ไหวจริงๆ ก็คงมีการเปลี่ยนมือกลุ่มทุนใหม่เข้ามาอีกครั้ง และจะวนเวียนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะครับ