PTG กำไรโตได้ดี

ปี 2559 คงเป็นอีกปีที่นักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการ PTG น่าจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ 1) ขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจาก 1,150 สาขาในปี 2558 และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1,500 สาขาในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทมีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ2


–คุณค่าบริษัท–

 

ปี 2559 คงเป็นอีกปีที่นักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTGน่าจะเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 899 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์ 1) ขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจาก 1,150 สาขาในปี 2558 และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 1,500 สาขาในปีนี้ ส่งผลให้บริษัทมีจำนวนสาขามากเป็นอันดับ 2

2) ขยายสู่กรุงเทพและปริมณฑลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มยอดขายต่อสาขา โดยมียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าในต่างจังหวัด 3) การบริหารต้นทุนที่ดี จากการเน้นการขยายสถานีบริการของบริษัทเอง (COCO) และการขนส่งน้ำมันผ่านกองรถบรรทุกขนส่งน้ำมัน ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนให้มีอัตรากำไรที่สูงกว่าได้ 4) การส่งเสริมทางการตลาดผ่านบัตรสมาชิก Max Card ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มเป็น 5.6 ล้านรายในปีนี้จะเป็นส่วนเพิ่มยอดขายน้ำมันต่อสาขาให้แก่บริษัทในอนาคต

5) ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและเพิ่มสินค้าใหม่ที่สร้างอัตรากำไร โดยบริษัทจะเพิ่มสินค้าน้ำมันเครื่อง โดยตั้งเป้ายอดขาย 1.2 ล้านลิตร จะช่วยสร้างอัตรากำไรให้แก่บริษัทได้ เนื่องจากน้ำมันเครื่องมีอัตรากำไรสูงถึง 20-30 บาทต่อลิตร รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ยังช่วยกระจายความเสี่ยงให้แก่บริษัท และช่วยสร้างโอกาสในการต่อยอดธุรกิจได้อย่างดี

ขณะที่ผลการดำเนินงานสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2558 บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการทั้งสิ้น 53,677.75 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 55,100.76 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรกลับเพิ่มขึ้นมากถึง 650.72 ล้านบาท หรือ 0.39 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 486.75 ล้านบาท หรือ 0.29 บาทต่อหุ้น แสดงถึงความแข็งแกร่งของตัวบริษัท

เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของบริษัทเพื่อนำมาเป็นหนึ่งในตัวแปรตัดสินใจลงทุนพบว่า ฐานะทางการเงินไม่ค่อยดูดี เพราะมีสินทรัพย์หมุนเวียนแค่ 1,837.47 ล้านบาท ขณะที่แบกรับหนี้สินหมุนเวียน 2,805.77 ล้านบาท และเมื่อนำมาเปรียบเทียบค่า CURRENT RATIO ได้ที่ระดับ 0.66 เท่า แสดงว่าสภาพคล่องทางการเงินไม่ค่อยจะสู้ดีก็จริง แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดพบว่า หนี้สินส่วนใหญ่อยู่ในรูปหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น 2,151.62 ล้านบาท จึงไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลมากนัก

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมเพียง 3,804.37 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 4,000.91 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.95 เท่า แสดงว่า บริษัทไม่มีปัญหาหนี้สินมารบกวนการดำเนินงาน

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล. ทิสโก้ คาดการณ์ผลประกอบการที่จะออกมาดีมากในไตรมาส 1 ปี 59 ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 15.50 บาท

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.นายศักดิ์อนันต์ วิจิตรธนารักษ์ 265,255,000 หุ้น 15.88%

2.น.ส.จันทวรัจฉร์ จันทรศารทูล 183,917,100 หุ้น 11.01%

3.นายพิทักษ์ รัชกิจประการ 130,588,634 หุ้น 7.82%

4.นายพงษ์ศักดิ์ วชิรศักดิ์พานิช 100,300,000 หุ้น 6.01%

5.นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ 81,132,600 หุ้น 4.86%

 

รายชื่อกรรมการ

1.พล.ต.อ. สุนทร ซ้ายขวัญ ประธานกรรมการบริษัท

2.พล.ต.อ. สุนทร ซ้ายขวัญ กรรมการอิสระ

3.นาย พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

4.นาย พิทักษ์ รัชกิจประการ กรรมการ

5.นาย พงษ์ศักดิ์ วชิรศักดิ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร

Back to top button