พุทธสอนให้โกรธเกลียด?ทายท้าวิชามาร
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา หยิบป้าย “ยับยั้งชั่งใจ” “โกรธฝุดๆ” “เกลียดคนชั่ว” “รักษาความดี” ขึ้นมาบอกว่าเพราะเกลียดคนชั่ว รักษาความดี จึงโกรธฝุดๆ
ใบตองแห้ง
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมรณรงค์สัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา หยิบป้าย “ยับยั้งชั่งใจ” “โกรธฝุดๆ” “เกลียดคนชั่ว” “รักษาความดี” ขึ้นมาบอกว่าเพราะเกลียดคนชั่ว รักษาความดี จึงโกรธฝุดๆ
เอ๊ะท่านไม่ยักพูดคำว่า “ยับยั้งชั่งใจ” ท่านคงลืมไป แต่เชื่อว่าในใจท่านรู้ดี ป้าย “โกรธฝุดๆ” ต้องคู่กับ “ยับยั้งชั่งใจ” เพราะพระพุทธองค์สอนให้ใช้สติ ระงับอารมณ์ ควบคุมรักโลภโกรธหลง ไม่เคยสอนให้เกลียดคนชั่วแล้วทำลายล้างด้วยความโกรธ
พุทธไม่เคยสอนให้สุดโต่งนะครับ พุทธสอน “ทางสายกลาง” พระพุทธเจ้าตรัสรู้เมื่อบำเพ็ญตนไม่เคร่งไม่หย่อนจนเกินไป ในหลวงทรงนำแก่นของพุทธมาสอนให้คนไทยรู้จัก “พอเพียง” ซึ่งไม่ใช่แค่หลักเศรษฐกิจ แต่คือหลักการดำเนินชีวิต “ทางสายกลาง” ใช้ได้ทุกอย่างตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ไปถึงครองอำนาจ
อ้าวถ้า “อำนาจไม่พอเพียง” เหลิงอำนาจ ลุแก่อำนาจ ก็พินาศโดยรู้ตัว อย่างทักษิณไง 377 เสียงคิดว่าทำอะไรก็ได้
แม้แต่ความดีก็เหมือนกัน ถ้าหลงตนเอง เหลิงความดี ก็อาจเป็นอย่างที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ท่านพูดถึง 5 จุดจบประชาธิปไตย
“2.หากคิดว่าตนมีดีมีความสามารถ หรือเก่งอยู่เพียงผู้เดียว และองค์กรกับประเทศชาติขาดคุณไม่ได้ นั่นแปลว่าวันสุดท้ายของคุณคงอยู่อีกไม่ห่างไกลเกินรอ”
นี่เป็นสัจธรรม ใช้ได้กับผู้นำทุกระบอบ ไม่เฉพาะประชาธิปไตยหรอก เพียงแต่ผู้นำประชาธิปไตยตรวจสอบวิจารณ์ง่ายเท่านั้นเอง
ว่าที่จริง แก่นของพุทธสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อ้าว ศาสนาพุทธเคยสอนให้จับเดียรถีย์เห็นต่างมาปฏิบัติอย่างเดียรัจฉานหรือ พุทธเคยสอนไหม ว่าให้ใช้ตาต่อตาฟันต่อฟัน มีแต่สอนให้เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ฉะนั้นการละเมิดสิทธิมนุษยชนย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อ้างไม่ได้ว่าเป็นคนดีมากวาดล้างคนชั่วตามหลักศาสนาพุทธ
ถ้าพูดถึงปรัชญาแห่งอำนาจ ประชาธิปไตยก็มองคล้ายพุทธ ว่าเราทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีกิเลสตัณหา รักโลภโกรธหลง ฉะนั้นอย่าไว้ใจใคร อำนาจและผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีใครถูกทุกข้อ ไม่มีใครผิดทุกอย่าง ทุกสิ่งเป็นอนิจจังไม่จีรัง ทุกอำนาจจึงต้องตรวจสอบได้ ไม่มีใครเป็นอรหันต์ (ถ้าเป็นคืออวดอุตริ)
เพียงแต่สังคมไทยไม่ยักเข้าถึงแก่นของพุทธ พวกหนึ่งงมงายไสยศาสตร์ ต่อให้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีพัฒนาแค่ไหน ก็ยังสามารถก่อร่างสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ เช่น ขายผ้ายันต์ข้ามโลก ขายของขลังสะดวกซื้อ หรือเปลี่ยนเบอร์มือถือเปลี่ยนชีวิต
อีกพวกหนึ่งเหมือนจะดี เข้าวัดปฏิบัติธรรม อ่านหนังสือพุทธทาส จนหลงใหลความดีงาม เกลียดคนโกงเกลียดความชั่วร้ายดุจอาฆาตแค้น แล้วก็สถาปนาตนเป็นคนดี เห็นคนอื่นชั่วไปหมด เชื่อว่าต้องให้คนดีมีอำนาจทำลายล้างคนชั่วโดยเด็ดขาด ไม่ต้องคำนึงถึงหลักนิติรัฐ นิติธรรม สิทธิมนุษยชน เชียร์ให้จับคนโดยไม่ต้องขอหมายศาล ไม่ต้องตั้งข้อหา หรือเชียร์ให้ใช้ “กระสุนจริง” จนลืมถามตัวเองว่ายังมีมนุษยธรรมอยู่ไหม
เอาเข้าจริง ก็กลายเป็นว่าสังคมไทย “ป่วย” ไม่ได้ใช้สติพิจารณาไม่ได้ใช้ปัญญา ใช้แต่โมหะโทสะ ทั้งที่เข้าวัดเข้าวา (จนไปรบกันในวัด ในคณะสงฆ์) หลงอยู่กับมายา “ชั่วดี” จนไม่สามารถสร้างระบอบการปกครองที่ใช้เหตุผล
ถ้าไม่สามารถสถาปนาระบอบที่อยู่ร่วมกันด้วยเหตุผล เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ใบตองแห้ง