การขายทิ้งเดือนพฤษภาคมพลวัต 2016
แม้จะมีตัวช่วยสารพัดเมื่อวานนี้ ต่างชาติยังคงมุดหัวออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างมีชั้นเชิง ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว รวมตลอดเดือนนี้ ต่างชาติขายสุทธิไปแล้ว 5.1 พันล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่งผลให้ยอดสะสมสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยเป็นบวกอยู่ประมาณ 7.5 พันล้านบาทเท่านั้น
วิษณุ โชลิตกุล
แม้จะมีตัวช่วยสารพัดเมื่อวานนี้ ต่างชาติยังคงมุดหัวออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างมีชั้นเชิง ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว รวมตลอดเดือนนี้ ต่างชาติขายสุทธิไปแล้ว 5.1 พันล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่งผลให้ยอดสะสมสุทธิของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยเป็นบวกอยู่ประมาณ 7.5 พันล้านบาทเท่านั้น
ที่สำคัญ หุ้นที่ถือเป็น 3 กลุ่มหลักของตลาดหุ้นไทยคือ กลุ่มธนาคาร พลังงาน และสื่อสาร ยังคงถูกเทขายต่อเนื่องทุกวัน ชนิดไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ทำให้โอกาสที่ดัชนีจะลงไปหาแนวรับที่ระดับ 1,360 จุดมีความเป็นไปได้ในสัปดาห์นี้ หรือต้นสัปดาห์หน้า
เมื่อวานนี้ นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีภารกิจต้องสร้างมุมมอง “โลกสวย”ตามบทบาท ออกมายืนยันว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีบรรยากาศที่ดีขึ้น เพราะได้รับอานิสงส์จากการส่งออกที่พลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ประกอบกับ มาตรการต่างๆ ของภาครัฐบาลที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ คาดว่าจะช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้ปรับตัวดีขึ้นได้
ส่วนทิศทางเงินทุนจากต่างประเทศนั้น ยังต้องรอดูผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาสแรกก่อน แต่เชื่อว่าจะออกมาไม่เลวร้ายนัก โดยปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยถือว่าปรับตัวขึ้นมามากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมกับย้ำอีกว่า เป้าหมายมูลค่าหุ้น IPO ที่ 2.7 แสนล้านบาท โดยเชื่อว่าจะทำได้ตามเป้าหมายได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2-3 จะเริ่มมีบริษัททยอยเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้นจากช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารตลาดหุ้นไทยคนอื่นๆ ได้ออกมาให้เอกสารเผยแพร่ สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯเดือนเมษายน พบว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2558 มากถึง 9.1% ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค โดยที่ปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นถึง 37.5% เทียบกับปลายปี 2558
นอกจากนั้น หากพิจารณาผลตอบแทนของ SET เทียบกับปลายปี 2558 พบว่าเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในภูมิภาค ตามทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น โดยราคาหลักทรัพย์ทุกกลุ่มปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานอิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์นำโดยกลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมีภัณฑ์ และกลุ่มอาหาร
การขายของต่างชาติในเดือนพฤษภาคม เป็นปรากฏการณ์เฉพาะหน้าที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับคำพังเพยคร่ำครึของวอลล์สตรีทที่ว่า “ขายทิ้งเดือนพฤษภาคม และกลับมาซื้อใหม่เดือนกันยายน”หรือไม่
นักวิเคราะห์หลายสำนักในตลาดหุ้นไทยยอมรับว่า การขายของต่างชาติเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ดังเช่นเมื่อวานนี้ ซึ่งมีปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นทั่วโลก ราคาน้ำมันกับสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้ง กนง.ได้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่แรงเทขาย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มแบงก์ ซึ่งตามปกติ ควรจะตอบรับในทางบวก กลับออกมารุนแรง แม้แต่หุ้นในกลุ่มพลังงานก็ติดลบ ทั้งที่ราคาน้ำมันเป็นบวก
แรงเทขายของต่างชาติ แม้จะมีอิทธิพลลดน้อยลงกว่าอดีต เพราะปัจจุบันต่างชาติมีหุ้นไทยเหลือในพอร์ตไม่มากเป็นหลายแสนล้านบาทอีก แต่ก็ยังถือเป็นตัวแปรชี้นำทิศทางซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้
บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจและแหลมคมที่อธิบายการขายของต่างชาติยามนี้ มาจากนักวิเคราะห์ของ บล. เมย์แบงก์กิมเอ็ง ที่ยกสถิติย้อนหลังมายืนยันว่า 6 ใน 10 ปีที่ผ่านมา หากเกิดปรากฏการณ์ช่วง 4 เดือนแรกของปี ดัชนี SET ทำผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นโลกหรือภูมิภาคโดยรวมแล้ว จะเปิดโอกาสให้กับการขายหุ้นทิ้งในเดือนพฤษภาคมมากกว่าปกติ ซึ่งในปีนี้ ก็ไม่น่าจะหลีกหนีได้พ้น
เหตุผลสำคัญคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในไตรมาส 1/2559 โดยเฉลี่ย จัดว่าแย่กว่าที่คาดโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และกลุ่มสื่อสาร แม้กลุ่มพลังงานจะดีขึ้นบ้าง แต่ก็น้อยเกินไป
การทะยานขึ้นแรงของดัชนีตลาดหุ้นที่สวนทางกับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในไตรมาสแรก และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ต่ำ ทำให้ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยสูงเกิน เหมาะสำหรับการขายให้ตลาดปรับเข้าสู่สภาพพื้นฐานที่เหมาะสมกับการทำกำไรในอนาคต
มุมมองของต่างชาติ อาจจะไม่ถูกเสมอไป แต่มีผลต่อแรงเทขาย ดังจะเห็นได้ว่า แม้ว่าตัวช่วยอย่างเมื่อวานนี้ที่มี การลุกลามของไฟใหม้ในแคนาดาและการโจมตีโรงขุดเจาะน้ำมันในไนจีเรียส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบให้พุ่งขึ้นแรง และราคาหุ้นพลังงานกลับมาดึงตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลย
นอกจากนั้น ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของวาณิชธนกิจใหญ่อย่างโกลด์แมนแซคส์ใน 2 ประเด็นสำคัญคือ 1) ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้จะไม่หลุดแนวรับสำคัญ 2,700 จุดอย่างแน่นอน แต่จะแกว่งตัวระหว่าง 2,800-3,000 จุดตลอดปีนี้ 2) ค่าดอลลาร์มาถึงก้นเหวแล้ว และภายใน 2 ปีข้างหน้า ค่าดอลลาร์จะวิ่งขึ้นจากระดับนี้ไปมากถึง 15% จากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่ง และยังไม่มีเงินสกุลใดท้าทาย ก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่ห่างไกลจากความสนใจและรับรู้ของนักลงทุนไทยจะเข้าถึง
ข้อมูลที่ใกล้ตัวและไม่มีนักวิเคราะห์หุ้นคนไหนอยากพูดถึงอย่างเปิดเผย แต่พูดกันในทางลับแบบ “วงใน” ชนิดปิดกันให้แซ่ด คือ เสถียรภาพทางการเมืองของไทย ภายใต้รัฐบาลทหาร นับวันจะทวีความร้อนแรงผิดสังเกต เพราะความพยายามที่จะเข้มงวดด้วยอำนาจของกองทัพ ไม่สามารถระวังความขัดแย้งในสังคมด้วยวิถีอารยะได้เนิ่นนาน
การเมืองที่มีท่าทีร้อนระอุมากขึ้น เมื่อใกล้วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเข้ามาทุกขณะ ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการขายทิ้งเดือนพฤษภาคมในตลาดหุ้นไทยของต่างชาติได้ ตราบใดที่ผู้นำรัฐบบาลและกองทัพยังคงเชื่อว่าปัญหาการลุแก่อำนาจ กับการปฏิเสธหรือไม่เคารพในเสรีภาพประชาชน คือ “ปัญหาส่วนตัว” ไม่เกี่ยวกับชาวโลก
บทชี้แนะของนักวิเคราะห์ระดับหัวแถวของไทยที่ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังคาดว่ายังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูงในกรอบ 1,200-1,400 จุดเท่านั้น เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน มีหรือต่างชาติจะไม่รับรู้และสัมผัสได้