BEAUTY กำไรโดดเด่น
จากการที่ BEAUTY ขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง รวมถึงจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาสนใจกับบุคลิกภาพตัวเองมากขึ้น พร้อมกับค่านิยมในการเลือกซื้อของในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก
–คุณค่าบริษัท–
จากการที่ บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง รวมถึงจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาสนใจกับบุคลิกภาพตัวเองมากขึ้น พร้อมกับค่านิยมในการเลือกซื้อของในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก
ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งสิ้นรวม 348 สาขา โดยเป็นสาขาภายในประเทศไทย จำนวน 316 สาขา แบ่งเป็นร้านบิวตี้ บุฟเฟ่ต์ 230 สาขา ร้านบิวตี้ คอทเทจ 72 สาขา และร้านบิวตี้ มาร์เก็ต 14 สาขา และมีสาขาในต่างประเทศอีก 32 สาขา ประกอบด้วย ร้านบิวตี้ บุฟเฟ่ต์ 29 สาขา และร้านบิวตี้ คอทเทจ 3 สาขา
ขณะที่รายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากการขายผ่านช่องทางร้านค้าปลีก โดยมีสัดส่วนรายได้จากร้านบิวตี้บุฟเฟ่ต์ 71.94%, ร้านบิวตี้ คอทเทจ 9.93%, ร้านบิวตี้ มาร์เก็ต 2.96%, แฟรนไชส์ 0.98%, คอนซูเมอร์โปรดักส์ 8.73% และจากค้าส่งต่างประเทศและอื่นๆ อีก 5.46%
ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 บริษัทมีรายได้จากการขายขยับขึ้นมาอยู่ที่ 524.54 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 357.93 ล้านบาท มีการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น 44 สาขา จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนทั้งหมด 304 สาขา และจากยอดขายในสาขาเดิมที่เติบโตขึ้นเฉลี่ย 26% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 129.22 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 76 ล้านบาท หรือ 0.03 บาทต่อหุ้น
สิ่งสำคัญ คือ เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง เพราะ บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 1,163.95 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 312.64 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 3.73 เท่า แสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทมากเกินความจำเป็น
ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 322.95 ล้านบาท เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 1,277.74 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.26 เท่า แสดงว่า บริษัทแทบไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีการนำระบบ Customer Relation Management Program มาใช้ จึงส่งผลให้มีลูกค้าเป็นสมาชิกมากขึ้นและมีการนำคะแนนสะสมมาแลกสินค้าก็ประสพผลสำเร็จอย่างดี ส่วนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเติบโต รวมถึงการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายยังทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ช่องทางการจำหน่ายอื่นๆ ก็สามารถเติบโตได้สูงเช่นกัน ทั้งช่องทาง คอนซูเมอร์โปรดักส์, โมเดิร์นเทรด, เทรดดิชั่นนอลเทรด, แคตตาล็อก และอีคอมเมิร์ซที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงช่องทางในต่างประเทศก็มีแนวโน้มเติบโตในระดับสูงเช่นกัน
ในขณะที่นักวิเคราะห์ บลเออีซี มองว่า ด้วยแนวโน้มการเติบโตที่ยังสดใสทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ
แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.40 บาทต่อหุ้น
…
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
1.นายสุวิน ไกรภูเบศ 723,974,000 หุ้น 24.13%
2.นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ 387,498,000 หุ้น 12.92%
3.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 229,949,882 หุ้น 7.67%
4.STATE STREET BANK EUROPE LIMITED 203,617,751 หุ้น 6.79%
5.CHASE NOMINEES LIMITED 100,132,800 หุ้น 3.34%
รายชื่อกรรมการ
1.พลโท เผด็จ จารุจินดา ประธานกรรมการ
2.พลโท เผด็จ จารุจินดา กรรมการอิสระ
3.นาย สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
4.นาง ธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ กรรมการ
5.นาง มณสุธาทิพ มลาอัครนันท์ กรรมการ