พาราสาวะถี อรชุน
หยอดคำหวานป้อยอกันไปมาระหว่าง “พี่ใหญ่” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ “น้องเล็ก” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สองขาใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ประมาณว่าในโลกนี้ไม่มีใครดีเกินกว่าเราสองศรีพี่น้องแล้ว น้องเสียสละมายึดอำนาจแล้วลากเอาพี่มาช่วยบริหารประเทศ แบกภาระหนักบนบ่าจะนำพาประเทศไปสู่การปรองดองและปฏิรูปวางยุทธศาสตร์ไว้ยาวนานถึง 20 ปี
หยอดคำหวานป้อยอกันไปมาระหว่าง “พี่ใหญ่” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ “น้องเล็ก” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สองขาใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ประมาณว่าในโลกนี้ไม่มีใครดีเกินกว่าเราสองศรีพี่น้องแล้ว น้องเสียสละมายึดอำนาจแล้วลากเอาพี่มาช่วยบริหารประเทศ แบกภาระหนักบนบ่าจะนำพาประเทศไปสู่การปรองดองและปฏิรูปวางยุทธศาสตร์ไว้ยาวนานถึง 20 ปี
เป็นท่วงทำนองถ้อยทีถ้อยอาศัย ประสาคนลงเรือแป๊ะลำเดียวกัน คำหวานเหล่านั้นถ้าแปรเปลี่ยนเป็นโลกแห่งความจริงถามว่าวันนี้ประเทศไทยเดินไปถึงจุดที่ทั้งคู่ตั้งความหวังไว้แล้วหรือยัง คนส่วนใหญ่ตอบแทนได้ทันทีว่าที่บอกว่าจะทำให้คนในชาติสามัคคีกันนั้น ยังเป็นเหมือนฝันคนละเรื่อง คุยกันคนละวง ไม่มีอะไรแตกต่างไปจาก 2 ปีก่อนหน้านั้น
มากไปกว่านั้นวันนี้ท่านผู้นำและชาวคณะ ยังนำพาตัวเองไปเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง ทิ้งบทกรรมการลงไปละเลงเป็นผู้เล่นในเกมคนหนึ่งแล้วมันจะปรองดองกันแบบไหน สิ่งสำคัญที่หลายฝ่ายพยายามกระตุกให้คนที่อยู่บนภูหันมาดูสถานการณ์ที่สัมผัสกันได้คือ ยอมรับความเห็นที่แตกต่างยอมฟังเสียงของฝ่ายตรงข้าม แต่ท่านทั้งหลายเอาแต่ส่ายหน้า มิหนำซ้ำ ยังใช้กฎหมายพิเศษเล่นงานเข้าไปอีก มันจึงมองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์
ความจริงใจนั้นพิสูจน์กันได้ไม่ยาก เวทีรับฟังความเห็นพรรคการเมืองล่าสุดจัดโดยกกต.ที่สโมสรทหารบกวิภาวดี พอมีคนชมว่าสร้างบรรยากาศที่ดีคนที่อยู่ในซีกรัฐบาลรีบประโคมข่าวทันทีนี่เป็นแนวคิดของบิ๊กตู่เพื่อที่จะเปิดช่องให้นักการเมืองได้มีรูหายใจ ขนาดมือเนติบริกรประจำรัฐบาล วิษณุ เครืองาม ยังถึงขนาดให้สัมภาษณ์ว่าอาจจะมีการผ่อนปรนในข้อกฎหมายให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้
แต่คล้อยหลังจากนั้นไม่ถึง 48 ชั่วโมง หลังผู้มีอำนาจเด็ดขาดตัวจริงบินกลับจากรัสเซียประกาศลั่นไม่ทำตามคำขอ ไม่ผ่อนปรนใดๆ ให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งสิ้น พวกนี้พอได้คืบจะเอาศอก เลยทำให้บรรยากาศที่ฝ่ายผู้มีอำนาจกำลังหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นเรื่องที่ดีหายวับไปกับตาทันที นี่คือความเป็นจริงอีกประการคนที่ขี่หลังเสืออยู่นั้นไม่แฮปปี้กับข้อเรียกร้องใดๆ ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนสั่ง
เมื่อยึดถือคำสั่งคือกฎหมาย และมั่นใจอำนาจรัฏฐาธิปัตย์คือคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง ความจริงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยกร่างรัฐธรรมนูญให้สิ้นเปลืองงบประมาณและทำประชามติให้เสียเงินของแผ่นดินไปโดยเปล่าประโยชน์ ก็ใช้อำนาจที่มีทั้งหมดสั่งการให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนการกันไว้ จะให้ประเทศเดินไปทางไหน เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ โดยไม่แยแสประเทศใดในโลกก็เดินกันไปให้สุดทาง
ภาพที่ทำให้นักประชาธิปไตยใจหายคือ วันที่บิ๊กตู่ไปสัมผัสมือกับ ถิ่น จ่อ ประธานาธิบดีเมียนมา ในโอกาสที่ไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย โดยผู้นำพม่านั่งอยู่ฝั่งที่มีธงชาติไทยขณะที่ผู้นำไทยไปนั่งอยู่ฝั่งธงชาติพม่า อนิจจานำมาเปรียบเปรยหรือว่าสองประเทศนี้กำลังสลับสับเปลี่ยนที่ยืนกันอยู่ ประเทศหนึ่งมีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ประเทศซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยในอาเซียน ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเดินกันอย่างไร ที่ได้ยินกันอยู่เนืองๆ คือทุกอย่างจะเดินไปตามโรดแมป ซึ่งพม่าเคยทำมาก่อน แน่นอนว่ากว่าจะมีประธานาธิบดีได้เหมือนวันนี้ก็ใช้เวลาเกือบ 10 ปี หรือว่านี่คือเส้นทางเดินของประเทศไทยที่กำลังเดินซ้ำรอย บรรดาคนดีทั้งหลายได้พาประเทศถอยหลังเข้าคลองมันน่าอะเมซิ่งจริงๆ
ส่วนรายนี้ต้องบอกว่าสีข้างถลอกปอกเปิกไปหมดแล้ว สำหรับ มีชัย ฤชุพันธุ์ เมื่อวานนักข่าวถามเรื่องการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ เจ้าตัวแถไปถึงประเด็นอย่ามองเป็นการพนัน ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า นักวิชาการที่เขาออกมาตั้งข้อสังเกตโง่ถึงขนาดแยกแยะไม่ออกเลยหรือว่าอะไรคือผลประโยชน์ประเทศชาติอะไรคือเรื่องการพนัน
ไม่เพียงเท่านั้นมีชัยยังเอาสีข้างเข้าถูในประเด็นที่ถูกมองว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะช่วยให้คสช.สืบทอดอำนาจอีกว่า คสช.จะหมดอำนาจไปหลังจากมีรัฐบาลใหม่ ส่วนใครจะกลับเข้ามาร่วมรัฐบาลใหม่นั้นเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาและคิดว่าคนเหล่านั้นคงเข็ดกันแย่ โดยใช้ตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ถ้าเช่นนั้นก็ถามกันง่ายๆ เข็ดจริงแล้วทำไมต้องเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดช่องให้สืบทอดอำนาจด้วยเล่า
นี่เป็นตรรกะง่ายๆ ที่คิดไม่ถึงว่า คนระดับเนติบริกรชั้นครูจะใช้วิธีการตอบคำถามแบบแถไปได้ถึงเพียงนี้ เพราะความเป็นจริงหากคนที่อยู่ในอำนาจไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นใดๆ การเขียนกฎหมายสูงสุดก็คงไม่ออกมาในลักษณะซ่อนแอบซุกปมต่างๆ ไว้เช่นนี้ ที่สำคัญคือ คนอย่างมีชัยไม่น่าจะต้องเปลืองตัวให้คนดูถูกว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตยหรือพูดอีกทางคือยังเน้นการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นเผด็จการเหมือนที่เคยทำมาทั้งชีวิตนั่นเอง
เห็นการตอบโต้กันไปมาระหว่างโฆษกรัฐบาลและโฆษกพรรคเพื่อไทยเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่ พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอแนะไปยังรัฐบาล ไม่ได้ดูแคลนแต่ก็ต้องบอกว่าโฆษกทั้งสองฝ่ายไม่น่าจะใช่กูรูทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น ไม่ต้องไปยกตัวเลขใดๆ มาตอบโต้กันให้ประชาชนเขารำคาญหูรำคาญตา
เอาเป็นว่ายึดเศรษฐกิจแบบบ้านๆ วันนี้ลองให้คนกลางไปถามไถ่ชาวบ้านร้านรวงและคนที่ทำธุรกิจทั้งหลาย ทำมาค้าขายกันคล่องและเงินสะพัด กระเป๋าตุงกันหรือไม่ เท่านี้ก็จะชี้ชัดได้แล้วว่า เศรษฐกิจของประเทศนั้นดีจริงหรือไม่ ไม่ต้องไปอาศัยตัวเลขจากสำนักใดๆ ยิ่งเป็นจากหน่วยงานของภาครัฐก็ยากที่จะเป็นที่ยอมรับกันได้
มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วจากผลงานชิ้นโบว์ดำความนิยมของท่านผู้นำร้อยละ 99.5 ที่คนพากันส่ายหัวค่อนประเทศ คงต้องช่วยกันสะท้อนผ่านกระบอกเสียงรัฐบาลและคสช.ไปยังผู้มีอำนาจ ที่ย้ำกันนักกันหนา เรามีความสุขแล้ว เป็นความสุขของเราในฐานะผู้มีอำนาจและพวกพ้องหรือความสุขของคนทั้งประเทศกันแน่ ถ้ายังมองเห็นว่ามีเรื่องต้องแก้ไขอีกมากนั่นก็จะเรียกได้ว่าคนดีอย่างที่กล่าวอ้าง แต่หากยังแก้ตัวกันไปอย่างที่เป็นอยู่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี