อ้ายเสือ..ถอยแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
แล้วปรากฏการณ์ “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในธุรกจิโรงไฟฟ้าชีวมวล ..ที่ใครๆ ก็อยากจะทำ เพราะประกาศว่าจะทำทีไร ราคาหุ้นวิ่งทุกที...สิน่า
แล้วปรากฏการณ์ “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในธุรกจิโรงไฟฟ้าชีวมวล ..ที่ใครๆ ก็อยากจะทำ เพราะประกาศว่าจะทำทีไร ราคาหุ้นวิ่งทุกที…สิน่า
คำชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯล่าสุดของบริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC ว่าได้มีการลงทุนเพื่อสนองนโยบายที่จะขยายงานและเข้าลงทุนในธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ทางลัดด้วยการซื้อกิจการที่มีดำเนินการอยู่แล้ว
PSTC ระบุว่า บริษัทได้ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาทเข้าลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท เวลล์ โคราช เอ็นเนอร์ยี จำกัด (เวลล์ โคราช) จานวน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นเงินมูลค่า 148.50 ล้านบาท ต่อจากบริษัท นิวแมน กรีน จำกัด และจำนวน 2,800,000 หุ้น คิดเป็นเงินมูลค่า 1.50 ล้านบาท จากบริษัท รัชฎา พาวเวอร์ จำกัด รวมเป็นเงิน 150 ล้านบาท โดยบริษัทมีสัดส่วนการลงทุน 55.00% ในเวลล์ โคราช
บริษัท เวลล์ โคราช เอ็นเนอร์ยี จำกัด เป็นเจ้าของโรงงานผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าชีวมวล โดยใช้เปลือกไม้และเศษไม้ เป็นวัตถุดิบ1 โรงงาน ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุด 8 เมกะวัตต์
การเข้าทำรายการดังกล่าวข้างต้นของ PSTC มีผลทำให้เกิดผลลัพธ์ 2 ประการคือ
-เวลล์ โคราช มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทในทันทีที่ดีลจบลงในอนาคต
-เวลล์ โคราช จะดำเนินการใช้คืนเงินกู้ยืมจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม (ซึ่งเป็นผู้ขายหุ้น เวลล์โคราชในครั้งนี้ทั้ง 2 ราย) เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 200 ล้านบาท
เงื่อนไขทั้ง 2 ข้อ เท่ากับภาระของ PSTC ในการลงทุนครั้งนี้ จะต้องจ่ายเงินชำระค่าหุ้น 150 ล้านบาท และรับภาระหนี้ที่ เวลล์ โคราช มีกับบริษัท นิวแมน กรีน จำกัด และบริษัท รัชฎา พาวเวอร์ จำกัด อีก 200 ล้านบาท
ผลพวงต่อเนื่องการลงทุน ทำให้ PSTC แม้จะไม่มีหนี้มากนัก ก็จำต้องให้คณะกรรมการบริษัทออกมติอนุมัติออกและเสนอขายตั๋วแลกเงินระยะสั้น อายุไม่เกิน 270 วัน มูลค่าไม่เกิน 200 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ/หรือ การขยายการลงทุน และ/หรือ ชำระคืนหนี้ โดยจะเสนอขายให้นักลงทุนเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นนักลงทุนสถาบัน หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่
ข้อเท็จจริงดังกล่าว ปรากฏในหนังสือชี้แจงของ PSTC ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า “ มูลค่าเงินลงทุนข้างต้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งโครงการไม่เกิน 350 ล้านบาท” ถึงจะทำให้ดีลซื้อขายกิการบรรลุเป้าหมาย
คำชี้แจง PSTC สะท้อนว่า เวลล์ โคราช เป็นกิจการที่ไม่ได้ดีเด่อะไร เพราะขาดสภาพคล่องรุนแรงถึงขั้นต้องมีการกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นไปแก้ปัญหา…ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด…เพราะเป็นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ
ข้อมูลดังกล่าวเป็นปัญหาของ PSTC ธรรมดา …แต่ที่ไม่ธรรมดา ก็เพราะว่า บริษัท นิวแมน กรีน จำกัด คือบริษัทลูกของ บริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ที่ผู้ถือ หุ้นใหญ่ คือตระกูลตรีวีรานุวัฒน์ ที่มี เสี่ย ประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์ พร้อมกับลูกสาวคนเก่ง นางสาวนิตา ตรีวีรานุวัฒน์ รองประธานกรรมการ มีอำนาจเหนือการบริหารทั้งหมด
ผู้บริหารทั้ง 2 คนนี้ เคยวาดฝันกับโครงการนี้ไว้เรืองรองว่าจะเป็นคำตอบในฐานะของธุรกิจใหม่ที่เป็น “วัวให้น้ำนมเป็นทองคำ” ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจเดิมในเรื่องแก๊สและบริการที่เป็น “ตะวันตกดิน” ไปแล้ว
ปลายปี 2558 การลงทุนในเวลล์ โคราช ทำให้ TAKUNI ต้องเพิ่มทุนมโหฬารมากถึง 200%จากเดิม 200 ล้านบาทเป็น 600 ล้านบาท (เป็นหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้นขายผู้ถือหุ้นเดิมหุ้นละ 1.00 บาท ส่วนวอร์แรนต์แจกฟรี 200 หน่วยเพื่อแปลงสิทธิได้หุ้นสามัญ 1 ต่อ 1 ในราคาแปลงสิทธิ TAKUNI-W ที่ 2 บาท) เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเปิดทางให้บริษัทย่อย นิวแมน กรีน เข้าซื้อหุ้น 45% มูลค่า 140 ล้านบาท ต่อจาก บริษัท รัชฎา พาวเวอร์ จำกัด โดยมีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์
การลงทุนดังกล่าว เสี่ยประเสริฐยืนยันหนักแน่นในเวลานั้นว่า จะมีการบันทึกรายได้เข้า TAKUNI ทันที เพราะเวลล์ โคราช ได้ดำเนินการขายไฟเชิงพาณิชย์หรือ COD ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558 จำนวน 8 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 5 ปี ต่อสัญญาได้ครั้งละ 5 ปี โดย “จะทำให้บริษัทมีรายได้จากธุรกิจผลิตและขายไฟฟ้าซึ่งมีรายได้มั่นคงและเป็นการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัท”
เสี่ยประเสิรฐและนางสาวนิตา ปิดปากเงียบทีเดียว…ไม่แคยพร่งพรายความลับสุดยอด… ทำให้ไม่มีใครรู้ว่า TAKUNI ต้องปล่อยเงินกู้ให้เวลล์ โคราช ไปแก้ปัญหาสภาพคล่องด้วย
งานนี้ จึงไม่รู้ว่าใครหลอกใคร…ระหว่าง รัชฎา พาวเวอร์ เจ้าของเดิมที่หลอกเอาโรงงานผุๆ มาขายพร้อมหนี้บานเบอะล้นพ้นตัว…หรือเสี่ยประเสริฐกับลูกสาว..ที่หลอกผู้ถือหุ้นให้เพิ่มทุนเอาเงินไปทุ่มกับโครงการในฝันที่ล้มเหลวในเวลาต่อมา
เมื่อการเพิ่มทุนครั้งมโหฬารด้วยราคาหุ้นเพิ่มทุนแค่หุ้นละ 1 บาท นักลงทุนที่รอคอยความหวังว่ากำไรที่ถดถอยของแต่ละไตรมาสต่อเนื่องตลอดปี 2558 จะกระเตื้องขึ้นจากโครงการของ เวลล์ โคราช ที่เสี่ยประเสริฐเคยกล่าวว่าจะบันทึกส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อ TAKUNI รายงานผลประกอบการงวดไตรมาสแรก 2559 …สวรรค์ก็ล่ม
ตัวเลขกำไรสุทธิน่ารักน่าชัง 0.93 ล้านบาท (หรือ 9.3 แสนบาท) หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.0012 บาท เทียบกับไตรมาสแรกปี 2558 ที่ 28.41 ล้านบาท จากรายได้ลดลงเล็กน้อยที่ 293.32 ล้านบาท จากระยะเดียวกันปีก่อน 309.39 ล้านบาท…แต่ความหวังจากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล ….กลับปรากฏตัวเลขติดลบ 6.793 ล้านบาท
ปฏิบัติการ “ถอยดีกว่า …ไม่อาวววดีกว่า” ขายทิ้ง เวลล์ โคราช จึงเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาด..แถมยังโชคดี มีกำไรติดเล็กน้อยประมาณ 1.4 ล้านบาทเศษ (…หากไม่นับรวมค่าเสียโอกาส ดอกเบี้ย และค่าที่ปรึกษาการเงิน-กฎหมาย… น่าจะทำให้งบการเงินของ TAKUNI กลับมาสวยงามขึ้น หรือ ขี้เหร่น้อยลง
แต่..คำถามว่าทำไมเสี่ยประเสริฐ และลูกสาวคนสวย ถึงจงใจพูดความจริงครึ่งเดียวในเงื่อนไขซื้อ เวลล์ โคราช เป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องตอบผู้ถือหุ้นว่า …ทำไม และทำไม…
ในแง่ธรรมาภิบาลธุรกิจ การพูดความจริงครึ่งเดียว มีความหมายเท่ากับ “โกหกคำโต”..นะจะบอกให้
อิ อิ อิ