พาราสาวะถี อรชุน
อ่านข้อเขียนของ “หม่อมปลื้ม” หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล เรื่องสำรวม สุภาพ สุขุม ท่วงทำนองที่ผู้นำไทยไม่มีแล้วมีบางวรรคบางตอนที่น่าสนใจต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยเจ้าตัวระบุว่า สิ่งที่ทำให้รู้สึกอับอายขายหน้ามากที่สุด เป็นการที่ประเทศไทยมีผู้นำที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งควรที่จะมีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ แต่กลับไม่มี มันไม่น่าเชื่อ แต่วันนี้เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไปกล่าวสุนทรพจน์ ในงานประชุมกลุ่มประเทศ G77 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ขึ้นไปยอมรับบนเวทีว่า “ตนเองนั้นเป็นคนบ้า”
อ่านข้อเขียนของ “หม่อมปลื้ม” หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล เรื่องสำรวม สุภาพ สุขุม ท่วงทำนองที่ผู้นำไทยไม่มีแล้วมีบางวรรคบางตอนที่น่าสนใจต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง โดยเจ้าตัวระบุว่า สิ่งที่ทำให้รู้สึกอับอายขายหน้ามากที่สุด เป็นการที่ประเทศไทยมีผู้นำที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งควรที่จะมีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ แต่กลับไม่มี มันไม่น่าเชื่อ แต่วันนี้เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไปกล่าวสุนทรพจน์ ในงานประชุมกลุ่มประเทศ G77 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ขึ้นไปยอมรับบนเวทีว่า “ตนเองนั้นเป็นคนบ้า”
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร! ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์เราไม่มีสิทธิที่จะมีอารมณ์เสียหรือมีท่าทีที่บุ่มบ่ามและมุทะลุไม่ได้ แต่อย่างน้อยเวลาออกงานรับแขกเหรื่อควรมีความสำรวมอยู่บ้าง รู้ทั้งรู้ว่า คนอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนที่เอาอารมณ์ของตนเองเป็นที่ตั้ง แต่อย่างน้อยสิ่งที่คนไทยควรจะมีสิทธิคาดหวังจากผู้นำของเขา (ทั้งๆ ที่ไม่ได้เลือกเข้ามา) คือต้องช่วยรักษาหน้าให้กับประเทศชาติ
ไม่ใช่ขึ้นเวทีกล่าว Keynote Address ที่ผู้จัดงานเชิญไปพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่ดันไปใช้โอกาสด่าทอสื่อมวลชน นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามและนักวิชาการในประเทศ มันไม่ใช่แค่ไม่มีสาระสำหรับผู้ที่มาร่วมงาน แต่สิ่งที่บิ๊กตู่พูดนอกสคริปต์ที่หยาบคายและก้าวร้าวนั้นไปกลบเนื้อหาที่มีความสำคัญ ที่สื่อมวลชนควรจะได้รับรู้จากการเข้าร่วมงานในวันนั้น
กลายเป็นว่า บนหน้าหนังสือพิมพ์ในวันถัดมา คนก็จะมัวแต่ไปสนใจกับลีลาความเป็นตัวตลกที่เกรี้ยวกราดและดุดันอย่างไร้กาลเทศะของพลเอกประยุทธ์ โดยที่พาดหัวข่าวของสื่อต่างประเทศเป็นภาพสะท้อนได้อย่างชัดเจน “Thailand’s military junta is led by a clown.” นี่กระมังที่เคยย้ำมาโดยตลอดว่า ไม่ว่าสถานะประเทศในวันนี้จะเป็นอย่างไร เราอย่าได้เป็นตัวตลกบนเวทีสากล
มันมีเหตุผลที่เวลาออกงานใหญ่ๆ หรือพิธีการสำคัญ การกล่าวสุนทรพจน์จำเป็นที่จะต้องเป็นไปตามเนื้อหาที่ทีมงานได้เตรียมมา ในเวทีสำคัญการพูดออกนอกสคริปต์สามารถทำได้เฉพาะกรณีที่ผู้พูดมีความรู้มากเพียงพอ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล บุคคลที่มีความสามารถในลักษณะนี้พูดออกนอกสคริปต์ได้ แต่คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่และไม่มีพื้นฐานด้านปรัชญาทางความคิดที่ละเอียดอ่อนพอ พูดออกนอกสคริปต์แล้วพังทุกราย
ด้วยความเป็นลูกชายของ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล อนุมานได้ว่าหม่อมปลื้มย่อมได้รับการถ่ายทอดปลูกฝังเรื่องสมบัติความเป็นผู้ดีมาเป็นอย่างดี งานนี้จึงแสดงความเป็นห่วงจากใจจริงไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงจากการที่พ่อของตัวเองถูกปรับพ้นจากความเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลคสช. โดยเจ้าตัวได้เตือนบิ๊กตู่ด้วยความห่วงใย
แนะให้สังเกตดูอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเคารพจากสื่อมวลชนและประชาชนส่วนใหญ่ ที่จะมีความสุขุม ลุ่มลึกในวิธีการแสดงความคิดเห็น การพูดจานั้นจะเต็มไปด้วยคารม ซึ่งจะมีอรรถรสขณะเดียวกันก็น่าเกรงขามและมีความน่าเชื่อถือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และ อานันท์ ปันยารชุน เป็นสองอดีตนายกฯที่พอจะเป็นตัวอย่างให้คนอย่างพลเอกประยุทธ์สามารถลอกเลียนแบบได้
สองคนดังว่ามีลีลาพูดน้อยๆ แต่ต่อยหนัก ไม่มีกิริยานักเลง เป็นผลให้สื่อเคารพ ไม่กล้าต่อยกลับแต่พร้อมโค้งให้ ซึ่งของอย่างนี้มันคงสายเกินไป เพราะเรื่องกิริยามารยาท มันต้องสั่งสมมาตั้งแต่วัยเด็ก ความจริงหากมองว่าสองรายดังว่าเป็นโจทย์ที่ยากเกินไป ก็ให้ใช้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวอย่างก็ได้ แม้จะถูกค่อนขอดไปในทางที่ลบ แต่อย่างน้อยในภาพลักษณ์ระหว่างประเทศก็ไม่มีอะไรทำให้ไทยถูกครหา
อย่างไรก็ตาม มาถึงพ.ศ.นี้คนไทยคงต้องทำใจ เหมือนอย่างที่หม่อมปลื้มสรุปทิ้งท้าย ถ้าทหารจะอยู่ยาวแล้วอ้างการปฏิรูปประเทศ อ้างช่วงเปลี่ยนผ่านหรืออ้างความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนทุกคนคงจะต้องทำใจกับความเป็นจริงที่ว่า ประเทศไทยนั้นมีตัวตลกเป็นนายกฯ ใจถึงกล้าวิจารณ์อย่างนี้ไม่รู้ว่าลูกชายหม่อมอุ๋ยจะถูกเรียกไปปรับทัศนคติที่เปลี่ยนสถานที่เป็นศาลากลางจังหวัดหรือโรงพักบ้างหรือเปล่า
แต่จะว่าไปแล้วเรื่องของความอดทน อดกลั้นนั้นถือเป็นคุณสมบัติของคนที่ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามจะต้องเรียนรู้และนำมาปฏิบัติให้ได้ไม่มากก็น้อย พออ่านข้อเขียนของหม่อมปลื้มก็ชวนให้นึกถึงบทความกะทิธรรมของพระราชวิจิตรปฏิภาณหรือเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามขึ้นมาทันที
ท่านเจ้าคุณเขียนบทความเรื่องหนึ่งซึ่งน่าจะเข้ากับสถานการณ์ท่วงทำนองของผู้มีอำนาจในเวลานี้ บทความนั้นมีชื่อว่า ตบะของประชาชนและตบะของคนการเมือง โดยคนกลุ่มหลังนี้พระท่านบอกว่า ต้องมีตบะเป็นเครื่องเตือนใจ อันจะทำให้สังคม ประเทศชาติของเรามีความสงบสุข โดยต้องปฏิบัติตบะธรรมร่วมกัน
ตบะของคนการเมืองก็คือ อย่าไปถือสาหาความ ปล่อยๆ ไปเถอะเดี๋ยวก็เงียบไปเอง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ปากเบาไม่เท่าหูหนวก ใจเย็นๆ ยิ่งโต้ตอบก็ยิ่งบอบช้ำ ความจริงคือสิ่งที่ยืนยันความถูกต้อง นานวันไปทุกคนจะเข้าใจความเป็นจริง สร้างสรรค์ดีกว่าห้ำหั่น คนโกหกตกต่ำทุกคน นิ่งเงียบแต่เฉียบคม คนนิยมตลอดกาล ยิ้มเข้าไว้ให้ปัญหาจบ หลบเลี่ยงการตอบปัญหานักข่าวบางประเด็น
เป็นตบะที่คนซึ่งอ้างว่ายึดถือหลักธรรมคำสอนทางศาสนามาโดยตลอดน่าจะเข้าใจและนำไปใช้ปฏิบัติได้ไม่ยาก แต่ดูท่าจะยากเพราะนอกจากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้แล้ว เห็นแนวทางที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องของศาสนาแล้ว ต้องยอมรับกันว่า ไร้ทีท่าที่จะสร้างความสมานฉันท์ได้ เนื่องจากมีการเลือกฝ่ายใช้แนวทางที่ถูกวางแผนกันมาเป็นที่เรียบร้อย
เหมือนที่มีการจับผิดเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาว่า เป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐต้องมีมาตรการและกลไกป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา และยังส่งเสริมให้ฆราวาสมีส่วนร่วมในมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย หากรัฐเลือกจะนำมาตรการและกลไกดังกล่าวมาใช้เป็นเครื่องมือของรัฐหรือของบุคคลบางคนบางกลุ่มที่เข้ามาควบคุมพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ได้
นอกจากนั้น ยังมีความคิดที่จะเข้าไปบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนของพระพุทธศาสนา โดยพฤติกรรมที่ผ่านมาของคนบางพวกบางฝ่ายเสมือนเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง โดย นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ สะกิดเตือนว่า ถ้าได้ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังฆมณฑลของเรามาโดยตลอด คงสิ้นสงสัยและรู้ได้ทันทีว่าทำไมการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาจึงมีหน้าตาแบบนี้