รัก…อลวนแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

วันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค แจ้งต่อ ก.ล.ต.ว่า ได้ทำการขายหุ้น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT จำนวน 14% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้มีจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 2.72% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดให้กับ ZALL HOLDING LIMITED เข้าถือแทน


วันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค แจ้งต่อ ก.ล.ต.ว่า ได้ทำการขายหุ้น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT จำนวน 14% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ส่งผลให้มีจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น  2.72% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดให้กับ ZALL HOLDING LIMITED เข้าถือแทน

ผลลัพธ์คือ ZALL HOLDING LIMITED กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทนไฮเน็ค

คำถามทันทีที่มีข่าวออกมา จึงต้องการคำตอบว่าทำไมไฮเน็คจึงทิ้งหุ้นบริษัทมหาชนจดทะเบียนที่ได้ชื่อว่ามีอัตราส่วนทำกำไรสูงที่สุดในระดับหัวแถวของตลาดหุ้นไทย และมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่ “ปลอดภัยไร้กังวล” อย่างยิ่ง ที่เขามีส่วนร่วมก่อตั้งมาแต่ต้น

ไม่ต้องรอนาน เพราะมีคำอธิบายชนิด “ฟาสต์แทร็ก” ทันทีทันใจว่า ไม่ใช่การทิ้งหุ้น เพราะความจริงแล้วเป็นแค่การจัดพอร์ตธรรมดาของพ่อเจ้าประคุณไฮเน็คเอง … เพราะหากนับโดยพฤตินัยแล้ว กลุ่มไฮเน็คยังคงถือหุ้นเท่าเดิม ในชื่อที่อาจจะเปลี่ยนไป

นามนั้น…. ไม่สำคัญเท่ากับข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม

หากพิจารณาข้อเท็จจริง รายชื่อผู้ถือหุ้นของไฮเน็คโดยตรงนั้น ไม่เคยเกิน 5% มาแต่ไหนแต่ไร…ส่วนจะในชื่ออื่นๆ ที่ไม่ประสงค์จะออกนาม หรือไม่อยากให้ใครรู้ ย่อมมีเกินกว่า 15% แน่นอน หากพิจารณาจากดีลย้ายหรือปรับพอร์ตถือหุ้นครั้งล่าสุดนี้

ส่วนวัตถุประสงค์จะเป็นเช่นใด… เป็นเหตุผลส่วนตัวที่ต้องเคารพกัน อย่าถามเลย… ชิมิ ชิมิ

ไฮเน็ค เป็นชาวอเมริกันโดยกำเนิดและสายเลือดแท้ๆ ที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่อายุได้ราว 14 ปี และหลงรักเมืองไทย พร้อมกับร่ำรวยจากการทำธุรกิจในเมืองไทยด้วยสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง

สำหรับ MINT มีส่วนทำให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ว่า คนอเมริกันที่ใช้ชีวิตในไทยเป็นฐานสร้างรากฐานทางธุรกิจจนกระทั่งปัจจุบันเป็นธุรกิจข้ามชาติไปแล้ว ไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้สัญชาติไทยอย่างเต็มตัวเมื่อปี 2534 และประกาศชัดว่าเป็นคนที่มีหัวใจไทยอย่างเต็มตัว หากยังบุกเบิกธุรกิจไทยให้ก้าวไกลกับกระแสโลกาภิวัตน์เต็มรูป

หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจของ MINT เดินหน้ารุกซื้อกิจการทั้งที่เป็นทรัพย์สินจับต้องได้ และทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ เพื่อโตทางลัดในหลายประเทศ และผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็ว โดยในสิ้นงวดปี 2558  มีขีดความสามารถในการสร้างกำไรสุทธิของบริษัททั้งปีเพิ่มขึ้นมากถึง 60% (โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสุดท้ายของปีที่กำไรสุทธิพุ่งแรงมากถึง  111%)

ความสามารถที่เกิดขึ้นมาจากกลยุทธ์ “ฉลาดซื้อ” ที่สามารถขยายและกระจายธุรกิจในเครือ และต่อยอดเครือข่ายแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยสร้างรายได้และกำไรที่มั่นคง แซงหน้าการเติบโตของทรัพย์สิน หรือ รายได้จากการดำเนินงานปกติอย่างเดียว

การหามูลค่าเพิ่มจากทรัพย์สินทางปัญญา ผ่านการสร้างแบรนด์ หรือ ซื้อแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

ความเหนือชั้นนี้ มาจากวิสัยทัศน์ ของวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค คนอเมริกันหัวใจไทย และทีมงานชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย

คำอธิบายที่เรียบง่ายของฝ่ายบริหาร MINT ที่ว่า “การขยายสาขาของกิจการร้านอาหารอย่างมีวินัย” จึงมีความหมายมากกว่าธรรมดา

ปี 2559 สิ่งที่ขาประจำชอบหุ้นบลูชิพพื้นฐานและพิมพ์นิยมอย่าง MINT กำลังติดตามอยู่คือ ความสำเร็จล่วงหน้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่ควบคู่ไปกับโครงการโรมแรมในพื้นที่เดียวกันในไทย และโครงการที่อยู่อาศัยแบบพักผ่อนแบ่งปันเวลา อีกหลายแห่ง ที่เริ่มดำเนินการไปแล้วบางส่วน จะทำให้กำไรในปี 2559 ของ MINT เพิ่มขึ้นโดดเด่นเหมือนกับกลยุทธ์  “ฉลาดซื้อ” มากน้อยแค่ไหน

คำตอบที่ไฮเน็คให้หลังจากข่าวดีลขายหุ้นล่าสุด จึงเป็นข่าวดี มากกว่าข่าวร้าย… อย่าได้กังขาเลยว่าจะหนีไปไหน

เพียงแต่มีคำถามเดียวที่ค่อนข้างส่วนตั๊ว…ส่วนตัวคือ ทำไมต้องถือหุ้นให้มันซับซ้อนซ่อนเงื่อน… ชวนให้อลวนและอาจจะเกิดเข้าใจไขว้เขวอย่างนี้…

โดยเฉพาะบริษัทผู้ซื้อหุ้นต่อรอบล่าสุดนี้ มีประวัติพิลึกพิลั่น…. เคยจดทะเบียนในเกาะเคย์แมน และล่าสุดมีธุรกิจหลักทำอสังหาริมทรัพย์ในจีนลึกซึ้งหลายมณฑลตั้งแต่หวู่ฮั่นจนถึงส่านซี …ก็ให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นไงมาไง

รู้ว่ารักจริง ไม่มีทิ้งกัน… แต่ทำไมถึงทำให้มันชุลมุนอลวนอย่างเนี้ยยยยคะ…คุณเพ่วิลเลียม!!!!

Back to top button