ไม้ซีก กับ ไม้ซุง พลวัต 2016
ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย รากุราม ราชัน ประกาศว่า จะลาออก ไม่รับตำแหน่งต่อเมื่อครบวาระ 3 ปีตามสัญญาในปลายปีนี้
วิษณุ โชลิตกุล
ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย รากุราม ราชัน ประกาศว่า จะลาออก ไม่รับตำแหน่งต่อเมื่อครบวาระ 3 ปีตามสัญญาในปลายปีนี้
การประกาศไม่ต่ออายุเก้าอี้ผู้ว่าการธนาคารกลางของราชัน ทำให้เขากลายเป็นผู้ว่าการธนาคารคนแรกในหลายทศวรรษของอินเดีย หลังจากที่ผู้ว่าการธนาคารกลางก่อนหน้านี้หลายคนได้รับการต่ออายุสำหรับวาระ 3 ปี ไปคนละหลายวาระตลอดมา
ก่อนหน้าราชัน ผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดียคนที่ 22 ทัพวุรี ศุภภาเรา ก็นั่งนาน 2 วาระก่อนจะลงจากตำแหน่งไปในปี 2556
ราชัน เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเงินที่ไม่ได้ใช้ชีวิตในบ้านเกิดนานกว่าครึ่งของชีวิต โดยเป็นศาสตราจารย์ด้านการเงินแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกในสหรัฐฯ รวมทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศด้วย แต่ก่อนเข้าเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย เขามีประสบการณ์ไม่นานนัก จากการทำงานในฐานะประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำกระทรวงการคลังของอินเดีย
ในหนังสือที่ราชันเขียนขึ้นเองชื่อ Fault Lines ราชันเป็นหนึ่งในคนที่อธิบายก่อนหน้าว่า วิกฤติซับไพรม์ของสหรัฐฯ ค.ศ. 2008 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น ไม่ใช่เพราะว่ามีใครบางคนในแวดวงวาณิชธนกิจ หรือนายธนาคาร หรือ ในธุรกรรมตราสารอนุพันธ์กระทำการฉ้อฉลทางธุรกิจ แต่เป็นเพราะความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างของเศรษฐศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ
พื้นฐานที่นำไปสู่วิกฤติซับไพรม์ที่แท้จริงในทัศนะของราชันคือ การที่ผู้บริโภคมีหนี้สินล้นพ้นตัวเกินรายได้ ชาวอเมริกันมีบทบาทสูงมากเกินไปการขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจโลก เพรานำไปสู่การปล่อยสินเชื่อในรูปต่างๆ ที่เป็น “เงินต้นทุนต่ำ” ที่สร้างฟองสบู่ให้มีการจ้างงานเทียม และการใช้จ่ายแบบฟองสบู่ ผลลัพธ์คือ เมื่อเศรษฐกิจอเมริกาที่ “รวยปลอม” ไม่สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ โลกส่วนอื่น “ที่ถูกทำให้ยากจน” ก็ถูกจำกัดการบริโภคลง ส่งผลให้วิกฤติลามไปทั่วโลก
มุมมองดังกล่าว ทำให้ราชันได้รับเทียบเชิญเข้ามาเป็นผู้ว่าธนาคารกลางอินเดียเพื่อหาทางออกจากความท้าทายของกับดักทางเศรษฐกิจที่ถูกสร้างเอาไว้รกเรื้อโดยรัฐบาลของพรรคคองเกรสโดยนายกรัฐมนตรี มันโมฮัน ซิงห์ ที่เรียกร้อง 1) การเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเงินเฟ้อ 2) การดูแลให้เงินรูปีมีเสถียรภาพ 3) การปฏิรูประบบธนาคารพาณิชย์
ภารกิจของราชันนั้น ไม่ใช่งานที่ง่าย เพราะเป็นปัญหาว่าด้วย “ไตรภาคีของความเป็นไปไม่ได้” (the impossible trinity) เพราะการทำให้เศรษฐกิจเติบโต ย่อมหมายถึงการทำให้เสถียรภาพของค่าเงินถูกรบกวน และ การใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดคุมภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ต้นทุนทางการเงินภาคธุรกิจแพงขึ้น รบกวนการจ้างงาน
เกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ราชัน ทำได้ดีตามมาตรฐาน เพราะสามารถทำให้อินเดีย กลายเป็นชาติที่มีอัตราการเติบโตและเสถียภาพทางเศรษฐกิจดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในปี 2558 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความผันผวนของโลกจากวิกฤติราคาน้ำมัน ความวุ่นวายในจีน และเงินฝืดเรื้อรังในญี่ปุ่น กับ ยูโรโซน
เหตุที่ทำได้ตามมาตรฐานและสอบผ่านอยู่ตรงที่ว่า เขาได้มีส่วนสำคัญในการทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินเดียที่มีจำนวนมากกว่า 380,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (13.5 ล้านล้านบาท) ถูกนำมาใช้เป็นทรัพยากรหรือเครื่องมือต่อรองในการควบคุมเงินเฟ้อ และค่าเงินพร้อมกันไป แม้จะถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงว่า เป็นการทำให้การจ้างงานลดลง จากการใช้มาตรการทางการเงินที่เข้มงวด โดยคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูง
ภารกิจที่ยังไม่เสร็จ และทำให้ราชันต้องเด้งจากเก้าอี้อย่างสมัครใจ ก่อนจะถูก “ให้ออก” คือ การปฏิรูประบบธนาคารพาณิชย์ที่มีลักษณะ “เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง” ทำนองเดียวกันกับที่อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางอิสราเอลอย่างนายสแตนลี่ย์ ฟิชเชอร์ เคยเผชิญและล้มเหลวมาก่อน
โครงสร้างระบบธนาคารพาณิชย์ของอิสราเอลและอินเดียนั้น มีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เพราะว่า มีกลุ่มทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมสารพัดทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และเป็นต้นเหตุของหนี้เน่าในระบบจำนวนมาศาล จากการปล่อยสินเชื่ออย่างสมคบคิดฉ้อฉล ผ่องถ่ายเงินจากระบบเข้ากระเป๋ากลุ่มทุนใหญ่อย่างเพลิดเพลิน
โครงสร้างธนาคารแบบพรรคพวกหรือ crony bankimg ทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีความพยายามปฏิรูประบบธนาคาร แรงต่อต้านเกิดขึ้นจาก “พลังมืด” ผ่านมาทางนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และกลไกรัฐส่วนต่างๆ รวมทั้งสื่อมวลชนที่กลุ่มทุนใหญ่หนุนหลังอยู่
นายสแตนลี่ย์ ฟิชเชอร์ ตกงานในอิสราเอล แต่โชคดีได้งานใหญ่เป็นรองประธานเฟดฯของสหรัฐฯ แต่นายราชัน ที่มีโอกาสตกงานจากนิวเดลี อาจจะไม่มีชะตากรรมดีเลิศแบบนายฟิชเชอร์ เพียงแต่ความรู้และผลงานที่เขาสร้างเอาไว้ในอดีต ก็น่าจะเพียงพอที่ทำให้ได้งานใหม่ในสหรัฐฯหรือยุโรปไม่ยากเย็นอะไร
นี่คือ บทเรียนของสังคมที่กลุ่มทุนใหญ่ทำตัวเป็นไม้ซุง ที่มีโครงสร้างผลประโยชน์ซับซ้อน เล่นบทบาทของเหลือบเกาะกินความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าส่วนตัว แล้วใช้กลไกดังกล่าวขจัดไม้ซีกของกคนที่มีความสามารถ แต่ไม่สามารถรู้เท่าทันความเจ้าเล่ห์เพทุบายของโครงสร้างที่ฉ้อฉล ออกไปจากโครงสร้างได้
ไม่ใช่ครั้งแรก และก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย