MIDA ชี้กรณีเลวร้ายสุดถูกยึดที่สนามกอล์ฟทำสินทรัพย์หด 250-280 ลบ.
MIDA ชี้กรณีเลวร้ายถูกยึดที่ดินสนามกอล์ฟทำสินทรัพย์หด 250-280 ลบ.
นายวิสูตร เอี้ยวศิวิกูล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ MIDA บริษัทฯมั่นใจว่าจะไม่ได้รับผลกระทบหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด คือ ถูกเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.กาญจนบุรี ยึดที่ดินสนามกอล์ฟของบริษัทย่อย คือ บริษัท ไมด้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (ไมด้า กอล์ฟ) หลังจากนำป้ายไปติดประกาศแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของ ส.ป.ก.ทั้งหมดขนาด 1,113 ไร่ จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินของบริษัทหายไปราว 250-280 ล้านบาท จากมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด 9,530 ล้านบาท
ที่ดินดังกล่าวแบ่งเป็นพื้นที่ น.ส.3 ก,น.ส.3 รวม 830 ไร่ และที่ดินที่เสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ขนาด 283 ไร่ โดยส่วนที่มีปัญหาหลัก คือ ที่ดินในส่วนของ ภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ขนาด 283 ไร่ ซึ่งมีขนาดไม่เกิน 500 ไร่ จะไม่สามารถยึดได้ แต่ปัจจุบันถูกนำที่ดินไปรวมกับแปลงอื่นๆ ที่ไม่ใช่ที่ดินของบริษัทฯ ทำให้มีขนาดเกิน 500 ไร่ จึงมีความเสี่ยงที่อาจจะถูกใช้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 36/2559 เข้ายึดที่ดินดังกล่าวได้
“เราถูกนำเอาที่ดินของเราขนาด 283 ไร่ ที่เป็น ภ.บ.ท.5 ไปรวมกับที่ดินของผู้อื่น ทำให้มีขนาดเกิน 500 ไร่ ซึ่งอาจจะถูกยึดได้ แต่จริงๆแล้วตามคำสั่งของ ม.44 ขนาดไม่เกิน 500 ไร่ เราก็จะไม่ถูกยึด ซึ่งตอนนี้เหลือที่ดินของเราแปลงเดียวที่ยังไม่ถูกตัดสิน เราก็รออยู่”นายวิสูตร กล่าว
“ขณะที่ที่ดินในส่วนของ น.ส.3 ก,น.ส.3 หากถูกเพิกถอน เราก็สามารถไปฟ้องร้องค่าเสียหายคืนจากที่ดินได้ เพราะเรายืนยันว่าเราไม่เคยไปเดินเรื่องเพื่อขอ น.ส.3 ก,น.ส.3 แต่เราไปซื้อที่ดินมาจากธนาคาร เราจึงยืนยันว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดเกี่ยวกับการได้มาของที่ดินแปลงดังกล่าว”นายวิสูตร กล่าว
นายวิสูตร กล่าวอีกว่า ผลประกอบการของสนามกอล์ฟดังกล่าวมีสัดส่วนรายได้เพียง 1-2% ของรายได้รวมเท่านั้น จึงจะไม่เป็นผลกระทบต่อบริษัทมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการหารือกับที่ปรึกษาทางการเงินและผู้สอบบัญชีก่อนว่าจะต้องมีการตั้งสำรองกรณีดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากมีการตั้งสำนองจริงก็อาจจะมีมูลค่าราว 100 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมผลประกอบการของบริษัท ยังคงมั่นใจว่าปีนี้จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 2,549.62 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 75.58 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตตามธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อทั้งในไทย และลาวที่บริษัทฯเข้าไปถือหุ้นอยู่ 60% ซึ่งบริษัทฯดังกล่าวมีกำไรสุทธิ 80 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ในธุรกิจโรงแรมเองก็ยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทเปิดตัวโรงแรมใหม่ 2 แห่ง ทำให้มีโรงแรมรวมทั้งหมดเป็น 8 แห่ง ซึ่งมีอัตราการเข้าพักที่ค่อนข้างดี