AU เผยธาตุแท้! เตรียมโยนบิ๊กล็อตเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง

"อาฟเตอร์ยู" เตรียมโยน "บิ๊กล็อต" 52.5 ล้านหุ้น ในวันซื้อขายวันแรก จ่อเคาะราคาขายหุ้น 13 ธ.ค.59 เทรด mai 23 ธ.ค.นี้


“อาฟเตอร์ยู” เตรียมโยนบิ๊กล็อตกว่า 52.5 ล้านหุ้น ในวันซื้อขายวันแรก เล็งเคาะราคา IPO วันที่ 13 ธ.ค.59 จ่อเทรด mai 23 ธ.ค.นี้

นายอิสสระ หวั่งหลี หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน สายงานวาณิชธนกิจ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าอาฟเตอร์ยู จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกในวันที่ 23 ธ.ค.59 โดยคาดว่าจะกำหนดราคาขายได้ในวันที่ 13 ธ.ค.59 และกำหนดวันเสนอขายหุ้นไอพีโอระหว่างวันที่ 14-16 ธ.ค.นี้

โดยเบื้องต้นวันเข้าทำการซื้อขายวันแรก จะมีการทำรายการซื้อขายขนาดใหญ่จำนวน 52.5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7% ของหุ้นทั้งหมดด้วย ซึ่งเป็นการรวบรวมหุ้นเก่าของผู้ถือหุ้นรายเดิม ขายให้กับนักลงทุนสถาบัน เหตุผลหลักในการขายหุ้นครั้งนี้เป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นที่มีอยู่เดิม

“จะบุ๊กบิวท์กับสถาบันวันที่ 9 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะรู้ราคาวันที่ 13 ธ.ค.นี้ และจะเซ็นอันเดอร์ไรท์ในวันดังกล่าวด้วย ส่วนการที่ผู้ถือหุ้นเดิมจะขายบิ๊กล็อตออกมานั้น ให้กับนักลงทุนสถาบัน ณ ราคาไอพีโอ และ ชำระเงินในวันเดียวกับนักลงทุนที่จองซื้อไอพีโอ แต่แค่มารับหุ้นในวันเทรดวันแรก เพราะผู้ถือหุ้นเดิมอยากจะขายหุ้นออกมาเพื่อเพิ่มสภาพคล่องหุ้นและจะไม่เสียภาษีขายหุ้นจากเป็นการขายในกระดาน”

ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้บริษัทไม่รวมการจำหน่ายหุ้นดังกล่าวกับการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปจำนวนทั้งสิ้น ไม่เกิน 165 ล้านบาท หรือ 22.8% ของจำนวนหุ้นสามัญ ราคาหุ้นที่ตราไว้ 0.10 บาทต่อหุ้น เพราะมองว่าการระดมทุนด้วยหุ้นจำนวนดังกล่าวจะทำให้บริษัทได้รับเงินทุนมาเกินความจำเป็น จึงต้องแบ่งขายออกมาเป็นล็อตอย่างที่เห็น ส่วนในเอกสารแสดงรายการที่กำหนดกระจายหุ้นให้กับ นายธีรพงษ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ กรรมการ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นั้น เป็นการขายให้เพื่อตอบแทนในอดีตที่ทั้ง 2 ท่านได้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนกับบริษัทในช่วงตั้งต้น

 

ด้าน นายแม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการบริษัท AU เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าการเติบโตในระยะยาวยังมีทิศทางที่ดี โดยบริษัทแผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น 20 สาขา และภายในปี 2561 บริษัทวางเป้าหมายมีสาขาเพิ่มเป็น 30 สาขา โดยเน้นสาขาในกรุงเทพฯ ปริมณฑล เพราะเชื่อมั่นว่าพื้นที่ดังกล่าวยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก ในขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะขยายสาขาในต่างจังหวัด โดยเฉพาะหัวเมืองขนาดใหญ่

ทั้งนี้ เงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้นั้นบริษัทจะใช้ในการขยายโรงงานและใช้คืนเงินกู้รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียน

Back to top button