KWGพุ่งเป็นวันที่ 5 ขึ้นกว่า140% ระวังแรงเทขาย-เข้าเขตซื้อมากไป
KWG พุ่ง 5 วันติดขึ้นกว่า 140% ระวังแรงเทขาย-หุ้นเข้าเขตซื้อมากเกินไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KWG ณ เวลา 10.41 น. อยู่ที่ระดับ 5.65 บาท บวก 0.83 บาท หรือ 17.22% ราคาหุ้นพุ่งแรง 5 วัน ติด หรือเพิ่มขึ้น 143.53 % โดยนับตั้งแต่ราคาหุ้นยืนที่ระดับ 2.32 บาท เมื่อวันที่ 10.เม.ย.60 และมาอยู่ที่ระดับ 5.65 บาท อย่างไรก็ตามทางเทคนิคราคาหุ้นเริ่มเข้าเขตซื้อมากเกินไป นักลงทุนควรระวังการเข้าเก็งกำไร
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า บมจ.คิง ไว กรุ๊ป (KWG) ช่วงนี้มีการเก็งกำไรสูง เพราะมีข่าวเรื่องการเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมสำเร็จ และจะเปิดขายคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5 พันล้านบาท ช่วยให้บริษัทมีโอกาสจะหลุดพ้นกรณีที่อาจจะต้องเข้าแผนฟื้นฟู เพราะส่วนผู้ถือหุ้นเฉพาะในส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่เหลือน้อย ณ สิ้นปี 59 เป็น 214 ล้านบาท แต่อาจต้องระมัดระวังการเข้าเก็งกำไร
สำหรับผลประกอบการปี 59 มีกำไรสุทธิ 61 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้นที่ 0.28 บาท คิดเป็น P/E ขณะนี้ 14.0 เท่า แต่เป็นกำไรพิเศษปรับค่ายุติธรรมอสังหาฯ 236 ล้านบาท และกำไรอัตราแลกเปลี่ยน 10 ล้านบาท หากไม่นับกำไรพิเศษดังกล่าว จะเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงาน 185 ล้านบาท ซึ่งหาค่า P/E จากการดำเนินงาน (P/E-Norm) ไม่ได้ ดังนั้น การเก็งกำไรว่าบริษัทที่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวในอนาคต และซื้อขายที่ P/E ไม่ได้สูงมาก อาจเป็นภาพลวงตา ด้านมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value) หลังเพิ่มทุนเป็น 2.24 บาทต่อหุ้น
ส่วนคอนโดฯ 2 โครงการ คือ 1) อาคาร 8 ชั้น มูลค่า 565 ล้านบาท กว่าจะโอนกรรมสิทธิ์เป็น H2/62 และ 2) อาคารสูง 40 ชั้น 1 อาคาร และอาคารสูง 14 ชั้น 1 อาคาร มูลค่ารวม 4.4 พันล้านบาท กว่าจะโอนเป็น H2/63 ดังนั้น จะกำไรเร็วสุดคือปี 62
และจากการจัดทำประมาณการในปี 60 และ 61 ปกติจะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานตกปีละ 70-180 ล้านบาท แต่บริษัทมีข้อดีคือจะนำเงินเพิ่มทุนส่วนหนึ่ง 500 ล้านบาทไปคืนหนี้เงินกู้ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.5% จึงประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ปีละ 17.5 ล้านบาท แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยให้มีผลกำไรได้
ส่วนประมาณการปี 62-64 สุทธิแล้วคาดว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานเป็น -88, +176 และ +136 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีสมมุติฐานว่าให้โครงการแรกมีการโอนเป็นรายได้ปี 62-63 ปีละ 50% มีอัตรากำไรสุทธิ 14% ส่วนโครงการที่สอง มีการโอนเป็นรายได้ปี 63-64 ปีละ 50% มีอัตรากำไรสุทธิ 12% ซึ่งอัตรากำไรสุทธิแปรไปตาม IRR ที่บริษัทแนะมา พบว่าปี 63 จะเป็นปีที่มีกำไรสูงสุด (Peak) เพราะเป็นช่วงที่ทั้งสองโครงการให้รายได้เข้ามา และเมื่อประเมินมูลค่าเป็น P/E ด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังเพิ่มทุนคือ 924 ล้านหุ้น ก็ยังสูงเป็น 20.4 เท่า ตามตาราง
อนึ่งวานนี้(18 เม.ย.) มีลูกหุ้น KWG เข้าซื้อขายวันแรกที่ต้นทุนเพียง 2.63 บาท จำนวน 704 ล้านหุ้น จากจำนวนหุ้นเดิม 220 ล้านหุ้น เป็นลูกหุ้นที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 3.2 หุ้นใหม่ รายใหญ่คือ บริษัท ทอมโม (ประเทศไทย) 355.7 ล้านหุ้น และทั่วไป 348.3 ล้านหุ้น อาจมีความเสี่ยงเรื่องแรงขายทำกำไร
หากพิจารณาด้านบวก บริษัทอาจจะสามารถสร้างอัตรากำไรได้สูงกว่า หรือโอนได้เร็วกว่าคาด แต่ปัจจัยเสี่ยงคือ การเปิดขายโครงการคอนโดใหม่จะทำได้สำเร็จหรือไม่ ขั้นแรกคือ การขอ EIA จะผ่านหรือไม่ ยอดขายและยอดโอนจะเป็นอย่างไร ตลอดจนเรื่องการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆในอนาคต