MFC ขายกอง MRECO3 ถึง 12 ก.ค.นี้
MFC ขายกองทุนเปิด MRECO3 ลงทุนหุ้นไทยปัจจัยพื้นฐานดี ตั้งแต่วันนี้-12 ก.ค.60 โดยตั้งเป้าหมายเลิกโครงการ เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.60 บาท ขึ้นไปภายใน 5 เดือน
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า เอ็มเอฟซีออกกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี ไทย รีคัฟเวอรี่ ซีรี่ส์ 3 ลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการ เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.60 บาท ขึ้นไปภายใน 5 เดือน เสนอขายในช่วงวันที่ 28 มิ.ย.-12 ก.ค.60 โดยผู้สนใจสามารถลงทุนขั้นต่ำได้ตั้งแต่ 10,000 บาท
ทั้งนี้กองทุนเปิด MRECO3 ตั้งเป้าหมายเพื่อเลิกกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.60 บาทภายใน 5 เดือน เป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่กำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุนโดยมีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่มีความมั่นคงสูงและได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment grade) ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน เงินฝาก และตราสารอนุพันธ์โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน
สำหรับกองทุนเปิด MRECO3 จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเข้ากองทุนเปิด MM-GOV กรณีภายใน 5 เดือนแรกเมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนละ 10.60 บาทขึ้นไปเป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกันหรือทรัพย์สินกองทุนเป็นเงินสด หรือกรณีภายหลัง 5 เดือนแรกบริษัทจะเปิดซื้อขายหน่วยลงทุนทุกวันทำการ
ทั้งนี้เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนละ 10.55 บาทขึ้นไปเป็นเวลา 5 วันทำการติดต่อกันหรือทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด บริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและจะเลิกโครงการกองทุนดังกล่าว
ขณะที่ความเห็นของสายบริหารกองทุนของเอ็มเอฟซีมองโอกาสสนับสนุนการลงทุน ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องนำโดยสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อประคับประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ยุโรปเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากตัวเลขสินเชื่อที่ขยายตัว
ส่วนเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง นำโดยการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐในส่วนของโครงการที่เปิดประมูลไปก่อนหน้า และโครงการใหม่ที่จะเปิดประมูลจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือการปรับลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯที่อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ด้านราคาน้ำมันอาจได้รับแรงกดดันจากอุปทานฝั่งสหรัฐฯที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศที่อาจปะทุขึ้นจะทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม บริษัทจัดการจะปรับเปลี่ยนการลงทุนตามสภาวการณ์ของตลาดทุนและตลาดเงินให้มีความเหมาะสม