SCG เล็งจับมือพันธมิตรลุยโรงไฟฟ้าในกัมพูชา-เมียนมา ชัดเจนปีหน้า
SCG เล็งจับมือพันธมิตรตปท.เข้าลงทุนโรงไฟฟ้าในกัมพูชา-เมียนมา คาดชัดเจนปี 61 หวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ตปท. คาดรายได้ไนปี 61 โต 4%
นายวิโรจน์ ธีรวัฒน์วาที กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) หรือ SCG เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเมียนมาและกัมพูชา ซึ่งเป็นการศึกษาร่วมกับพันธมิตรประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการลงทุนดังกล่าวภายในปี 61 ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบของการทำโรงไฟฟ้าในทั้ง 2 ประเทศ
ประกอบกับรอความชัดเจนของกฏระเบียบต่าง ๆ ทั้งในด้านกฏหมายและการรับซื้อไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศให้มีความชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุน
โดยการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศเมียนมาและกัมพูชาหากได้ข้อสรุปออกมาที่ชัดเจนจะถือว่าเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศครั้งแรกของบริษัท โดยรูปแบบจะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ร่วมกับพันธมิตรสิงคโปร์และญี่ปุ่นที่ร่วมกับบริษัทศึกษาการลงทุน และแหล่งเงินทุนในส่วนของบริษัทที่จะลงทุนคาดว่าจะใช้วิธีการเพิ่มทุน เพราะที่ผ่านมาการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศบริษัทใช้กระแสเงินสดของบริษัทในการลงทุนโรงไฟฟ้าในประเทศเป็นส่วนใหญ่
สำหรับการลงทุนโรงไฟฟ้าในต่างประเทศบริษัทคาดหวังจะต้องให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่มองว่าคุ้มค่าในการลงทุน และการลงทุนจะเป็นการลงทุนแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะบริษัทต้องทำโครงการนำร่องเพื่อวิเคราะห์ถึงผลตอบรับที่เกิดขึ้นหลังจากการลงทุนก่อนพิจารณาลงทุนในโครงการต่อเนื่อง
อีกทั้งบริษัทยังตั้งเป้าหมายระยะยาวมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% จากปัจจุบันไม่มีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ
“เรามองเห็นโอกาสในการขยายโรงไฟฟ้าใน CLMV แต่ที่เราโฟกัสและร่วมศึกษากับพาร์ทเนอร์สิงคโปร์และญี่ปุ่นจะเป็นประเทศกัมพูชา ซึ่งมองว่ามีโอกาสและมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอยู่บ้าง โดยการลงทุนในเบื้องต้นจะเป็นการสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมแบบที่เราทำในประเทศ แต่ตอนนี้ก็ขอรอความชัดเจนเกี่ยวกับกฏระเบียบและกฏหมายของทั้ง 2 ประเทศก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งอาจจะเห็นความชัดเจนในปี 61″นายวิโรจน์ กล่าว
ขณะที่กำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศของบริษัทสิ้นปี 60 จะเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นกำลังการผลิตที่ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตและ COD แล้ว 175 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าแห่งใหม่กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์จะเริ่ม COD ในช่วงเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยเข้ามาเสริมรายได้ในเดือนสุดท้ายของปี 60 ได้บางส่วน และทำให้รายได้ของบริษัทในปีนี้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้เติบโต 3% จากปีก่อน 3.97 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ไนปี 61 จะเติบโต 3-4% จากปี 60 หลังจากสามารถรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าใหม่ที่เพิ่มเข้ามา 25 เมกะวัตต์ ได้เต็มปีในปีหน้า โดยสัดส่วนรายได้ในปัจจุบัน แบ่งเป็น สัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าไห้กับโรงงานในเครือสหพัฒน์ 50% และสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกลุ่มอื่นภายนอกเครือและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 50%