ASEFA ราศรีจับ! ยอดแบ็คล็อกพุ่งนิวไฮ หนุนกำไร Q2 สดใส
ASEFA ราศรีจับ! ยอดแบ็คล็อกพุ่งนิวไฮ 2 พันล้านบาท หนุนกำไร Q2/60 โตสดใส มั่นใจครึ่งปีหลังโตต่อเนื่องรับธุรกิจไฮซีซั่น ฟากโบรกฯ เชียร์ "ซื้อ" P/E ต่ำกลุ่ม - อัพไซด์ยังเหลือ
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของ บริษัท อาซีฟา จำกัด (มหาชน) หรือ ASEFA หลังเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/60 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยนักวิเคราะห์มองว่า กำไรของ ASEFA ในไตรมาส 2/60 จะเติบโตอย่างสดใส จากการทยอยรับรู้ยอด Backlog ที่บริษัทมีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีการควบคุมการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมองว่าผลการดำเนินงานของ ASEFA จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และการทยอยรับรู้ยอด Backlog ที่มีอยู่ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้กว่า 70%
ด้านราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุด (19 ก.ค.) อยู่ที่ 7.30 บาท บวก 0.05 บาท หรือ 0.69% สูงสุดที่ 7.40 บาท ต่ำสุดที่ 7.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 2.41 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ให้ที่ 9 บาท อยู่ 23.29%
ขณะที่ค่า P/E อยู่ที่ระดับ 14.23 เท่า ณ วันที่ 18 ก.ค.60 ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ซึ่งอยู่ที่ 21.31 เท่า
โดย นายไพบูลย์ อังคณากรกุล กรรมการผู้จัดการ ASEFA ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ระบบกระจาย ส่งจ่ายและบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 2/60 คาดว่าจะมีการเติบโตดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากช่วงไตรมาส 3 -4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าผลการดำเนินงานปี 60 ยังเติบโตต่อเนื่องตามเป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้เติบโต 10 -15% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของงานในกลุ่มธุรกิจเดิมเป็นหลัก อีกทั้งบริษัทฯยังได้แรงหนุนจากโครงการภาครัฐจำนวนมากที่จะออกประมูลในปีนี้ โครงการภาครัฐที่ ASEFA ได้ประโยชน์อย่างมีนัยยะสำคัญต่อรายได้ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้า, โครงการสายไฟลงดิน และโครงการขยายสนามบินต่างๆ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
“ปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้อยู่ในมือประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้มากกว่า 60-70% โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง อีกทั้งบริษัทยังมีแผนประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี” นายไพบูลย์ กล่าว
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” ASEFA ราคาเป้าหมาย 9 บาท/หุ้น คาด ASEFA จะรายงานกำไรสุทธิช่วงไตรมาส 2/60 ที่ประมาณ 65 ล้านบาท ( เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน , เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน) เติบโตได้ดีจากปีก่อนเป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จาก backlog ที่สูงขึ้นโดยปัจจุบัน backlog อยู่ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดตั้งแต่ตั้งบริษัทมา และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สะท้อนจากตัวเลข SG&A to sales ที่ลดลงจาก 14% ในช่วงไตรมาส 2/59 เป็น 12.7% ในช่วงไตรมาส 2/60
ทั้งนี้ การเติบโตจากไตรมาสก่อนมาจากช่วงไตรมาส 1/60 บริษัทได้รับผลกระทบจากบางโครงการที่เลื่อนออกไป ซึ่งโครงการที่เลื่อนออกไปในช่วงเวลาดังกล่าว คาดจะสามารถทยอยเริ่มมีการทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2/60
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัท ฝ่ายวิจัยคาดจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาของตลาดสวิตช์บอร์ดยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ และคาดการณ์กำไรสุทธิช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็น 38% ของคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี เนื่องจากช่วงไตรมาส 3-4 เป็นช่วงไฮซีซั่นของบริษัท
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยคาดการณ์รายได้สำหรับปี 2560 ไว้ที่ 3,240 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15.7% จากปีก่อน) ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับที่บริษัทตั้งเป้าไว้ว่าจะเติบโตที่ประมาณ 10-15% ต่อปี โดยการเติบโตที่เพิ่มขึ้น มาจากมูลค่า backlog ปัจจุบันที่อยู่ในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท
ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท แต่ด้านอัตรากำไรขั้นต้น คาดปรับลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยจากเดิม 25.1% เป็น 24.1% จากภาวะการแข่งขันช่วงต้นปีที่สูงขึ้นมา ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยคาดการณ์กำไรสุทธิสำหรับปี 2560 แบบ conservative ไว้ที่ 317 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อน เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดกำไรสุทธิปี 2561 เติบโตในอัตราสูงขึ้นที่ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 380 ล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ทยอยซื้อ” ASEFA ราคาเป้าหมาย 7.65 บาท/หุ้น โดยคาดไตรมาส 2/60 กำไรอยู่ที่ 66 ล้านบาทเพิ่ม 7% จากปีก่อน และ 19% จากไตรมาสก่อน จากการทยอยส่งมอบงานในมือที่มีคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน และ 16% จากไตรมาสก่อน ที่ 726 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้ม Marginคาดจะดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนจากงานที่ส่งมอบมากขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดจะเริ่มทรงตัว
ทั้งนี้บริษัทมีงานในมือมากกว่า 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ปีนี้ราว 65-70% คาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยทางฝ่ายวิจัยคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2560 ไว้ดังเดิมคาดยอดขาย 3,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%