“ไทยมุ้ย คอร์ปอเรชั่น”ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 97.07 ล้านหุ้น เล็งเข้า mai
"ไทยมุ้ย คอร์ปอเรชั่น"ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายลวดสลิง สลิงผ้าใบ โซ่ และอุปกรณ์ยกหิ้ว ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 97.07 ล้านหุ้น เข้าตลาฯ mai เพื่อระดมทุนสร้างโกดังสินค้า-เงินทุนหมุนเวียน โดยมีบล. อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บริษัท ไทยมุ้ย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) THMUI ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 18 ก.ค.2560 เนื่องจากบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 97.07 ล้านหุ้น และมีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบล. อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโกดังสินค้า และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
บมจ. ไทยมุ้ย คอร์ปอเรชั่น (THMUI) จัดจำหน่ายลวดสลิง สลิงผ้าใบ โซ่ และอุปกรณ์ยกหิ้ว รวมทั้งบริการทดสอบแรงดึง ตรวจสภาพความพร้อมการใช้งานของเครน ลวดสลิง และอุปกรณ์ยกหิ้ว รวมถึงให้บริการแนะนำการใช้งาน ซ่อมแซม และอบรม
โครงการในอนาคต บริษัทฯ ได้ดำเนินการวางแผนโครงการในอนาคตเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น อันจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ ผลตอบแทนที่ดี และสร้างความยั่งยืนแก่บริษัทฯ ในอนาคต โดยบริษัทฯ ได้มีการวางแผนโครงการจำนวน 3 โครงการ ดังนี้
1.การซื้อเครื่องทดสอบแรงดึงขนาด 400 ตัน ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการให้บริการทดสอบความสามารถในการรับแรงดึงของผลิตภัณฑ์กับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน โดยที่บริการดังกล่าวสามารถทดสอบแรงดึงได้ที่ 50 และ 150 ตัน ทั้งนี้บริษัทฯ มีโครงการที่จะซื้อเครื่องทดสอบแรงดึงขนาด 400 ตัน จำนวน 1 เครื่อง จากประเทศไต้หวัน สำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์ยกหิ้วขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันและกลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อเป็นช่องทางการเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ จะดำเนินการจัดซื้อให้แล้วเสร็จภายในปี 2560 โดยคาดว่างบประมาณการลงทุนในเครื่องเครื่องทดสอบดังกล่าวจะมีมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนจากเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
2.การก่อสร้างโกดังสินค้า บริษัทฯ มีแผนการก่อสร้างคลังสินค้า เพื่อรองรับปริมาณสินค้าคงเหลือที่จะเพิ่มขึ้นจากการเติบโตในธุรกิจของลูกค้ารายเดิมและการขยายฐานลูกค้ารายใหม่ในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่หลากหลายได้เพิ่มขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การก่อสร้างคลังสินค้าดังกล่าวจะอยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกันกับโกดังสินค้าสำโรง จังหวัดสมุทรปราการ บนขนาดพื้นที่ 3-1-1 ไร่ โดยบริษัทฯ ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแล้ว ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2560 ซึ่งโกดังสินค้าดังกล่าวจะเริ่มก่อสร้างในปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถใช้งานได้ภายในปีดังกล่าว โดยมีงบประมาณการลงทุนทั้งสิ้นโดยประมาณ 40 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกบางส่วนเพื่อลงทุนก่อสร้างโกดังสินค้าดังกล่าว
3 การเพิ่มประเภทผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย จากประสบการณ์ และความสามารถในการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีชื่อเสียงที่แข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับของลูกค้ามาอย่างยาวนาน บริษัทฯ จึงมีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้นต่อไปอนาคต ทั้งในด้านการพัฒนาความสามารถในการขายสินค้าในกับกลุ่มลูกค้าเดิม และการขยายฐานลูกค้าของบริษัทฯ รวมถึงเพิ่มการลงทุนในผลิตภัณฑ์อื่นที่มีศักยภาพเติบโต เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตของทั้งยอดขายและผลกำไรที่มากขึ้น เช่น สินค้าประเภทท่อ เป็นต้น
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯงวดไตรมาส 1/60 รายได้จากการขายและบริการ 100.81 ล้านบาท ต้นทุนขายและบริการ 59.99 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.19 ล้านบาท โดยมีสินทรัพย์รวม 320.74 ล้านบาท หนี้สินรวม 143.88 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 176.86 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 170,000,000 บาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้วจำนวน 121,465,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 242,930,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งภายหลังจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน จำนวน 97,070,000 หุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 28.55 ของทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีทุนที่ออกและชำระแล้วเต็มมูลค่าจำนวน 170,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 340,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ณ วันที่ 18 ก.ค.2560 คือ กลุ่มตระกูลลีลาประชากุล และปิ่นเกรียงไกร ซึ่งรวมเรียกว่ากลุ่มคุณละออและครอบครัวคุณวีระพล ถือหุ้น 242,930,000 หุ้น คิดเป็น 100% ภายหลังจากที่เสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 71.45%
บริษัทฯ มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในแต่ละปีในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามกฎหมายกำหนด