3 หุ้นส่งออกอาหารทะเลตัวท็อป! รับอานิสงส์ราคากุ้งพุ่ง
จัดธีม 3 หุ้นส่งออกอาหารทะเลตัวท็อป! TU-CPF-CFRESH รับอานิสงส์ราคากุ้งพุ่ง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (บจ.) ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทำเล หลังจากที่ราคากุ้งปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคากุ้งไทยเพิ่มขึ้น 1.47% จากสัปดาห์ก่อน เนื่องจากความต้องการจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือน ก.ค.60 อยู่ที่ 109.16 ขยายตัว 3.73% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ MPI 7 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัว 0.62% ส่งสัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน เช่นเดียวกันกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำแท่ง) ที่ขยายตัวถึง 14.2%
รวมถึงการนำเข้าสินค้าทุนที่ขยายตัว 9.5% และการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำแท่ง) ที่ขยายตัวถึง 11.5%
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) มีการขยายตัว ได้แก่ เครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 26.72% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากผลิตภัณฑ์เครื่องยนต์ดีเซลที่ได้ผลิตเครื่องยนต์รุ่นใหม่ จนได้รับความนิยมจากลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเน้นส่งออกให้กับลูกค้าในกลุ่มประเทศ AEC (อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) เป็นหลัก
อีกทั้งอาหารทะเลแปรรูป ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13.32% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากผลิตภัณฑ์ปลาแช่แข็ง ปลาหมึกแช่แข็ง และกุ้งแช่แข็ง ที่ได้รับคำสั่งซื้อปลาแช่แข็งจำนวนมาก (เนื้อปลาทูน่าขูด) จึงเร่งผลิตและส่งมอบ รวมถึงปีนี้วัตถุดิบกุ้งมีมากขึ้นเนื่องจากเกษตรกรสามารถจัดการปัญหาโรคตายด่วนได้ดีขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่าราคากุ้งและน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยราคากุ้งไทยเพิ่มขึ้น 1.47% จากสัปดาห์ก่อน เนื่องจากความต้องการจากจีนที่เพิ่มขึ้น และกำลังการผลิตของเอกวาดอร์ที่ลดลง โดยไทยเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ในปีที่ผ่านมา โดยส่งออก 2.09 แสนตัน เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน
สำหรับ บจ.ที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวเป็นหลัก ประกอบด้วย บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) TU, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) CPF,บริษัท ซีเฟรชอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) CFRESH
ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อสะสม” TU ราคาเป้าหมาย 24.70 บาท/หุ้น โดยมองว่าประธานสภา ระบุแผนปฏิรูปภาษีของสหรัฐมีโอกาสผ่านสภาสูงกว่าแผน American health care เนื่องจากสมาชิก GOP ส่วนมากเห็นชอบ ซึ่งถือเป็นบวกต่อ TU (คาดประหยัดค่าใช้จ่ายภาษีสูงกว่า 300ลบ/ปี หรือคิดเป็น 5%ของกำไรสุทธิ)
โดย คาดว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และค่อยๆฟื้นตัวในไตรมาส 3 จาก High season และสามารถปรับราคาขายได้บางส่วน คาดส่งผลให้ Margin(%) สูงกว่า 14% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงจากกลางปีกว่า 15% สะท้อนผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 ที่อ่อนตัวไปแล้ว
ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” CPF ราคาเป้าหมาย 31 บาท/หุ้น โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิที่ 4.06 พันล้านบาท มากกว่าที่คาด โดยกำไรปกติไตรมาส 2/60 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท ลดลง 53% จากปีก่อน, และลดลง 12% จากไตรมาสก่อนใกล้กับที่คาด ทั้งนี้ธุรกิจหมูในเวียดนามเป็นแรงกดดันเนื่องจากภาวะอุปทานที่มีอยู่มาก ขณะที่ธุรกิจไก่ กุ้งและหมูภายในประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่ดี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันราคาหมูเวียดนามกลับฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 33,000 VND/kg จากการที่ผู้ประกอบการในเวียดนามเริ่มลดการผลิตลงหรือออกจากอุตสาหกรรมไป เราประเมินมูลค่าอิง sum of the part ได้ราคาเหมาะสมที่ 31 บาท
ขณะที่ บล.ฟิลลิป แนะนำ “ซื้อ” CFRESH ราคาเป้าหมาย 7.90 บาท/หุ้น โดยคาดครึ่งปีหลังฟื้นตัวจากยอดขายเพิ่มและคงไม่มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มาก ขณะที่แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลังคาดจะเห็นการฟื้นตัวจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไปจากฤดูขาย
ขณะที่ ราคาวัตถุดิบลดลงจากผลผลิตที่ทยอยเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง และคงไม่มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมากอย่างในครึ่งปีแรกจากเงินปอนด์อ่อนค่า แต่การดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการผลการดำเนินงานปี 2560 ลงจากเดิม ปรับยอดขายเป็น 8,337 ลบ. เพิ่งขึ้น 10% จากปีก่อนและคาดว่า margin จะลดลงจากราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นและเงินบาทแข็งค่า แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดจะ เพิ่มขึ้น 4% จากขาดทุนของเบลิสลดลง ปรับกำไรสุทธิเหลือเพียง 182 ลบ. ลดลง 29% จากปีก่อน
ทั้งนี้ ค่าเงินที่ผันผวนยังเป็นปัจจัยลบต่อการดำเนินงาน: ค่าเงินที่ผันผวนยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากปัจจุบันรายได้สกุลดอลลาร์มีอยู่ 60% สกุลปอนด์ 40% โดยมีการทำ fully hedge 100% สำหรับการขายสกุลปอนด์ ส่วนสกุลดอลลาร์จะ hedging เพียง 50% เท่านั้น คาดไตรมาส 3/60 ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนจะไม่มากอย่างในครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตามแม้ค่าเงินที่ผันผวนจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางลบต่อการดำเนินงาน แต่คาดว่าปัจจัยดังกล่าวมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและส่งผลต่อการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ณ ราคาปัจจุบันปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น”ซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานปี 2561 เป็น 7.90 บาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน