“นครหลวง แคปปิตอล” ยื่นไฟล์ลิ่งขาย IPO 455 ล้านหุ้น จ่อเข้าเทรด mai

"นครหลวง แคปปิตอล" หรือ NCAP ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 455 ล้านหุ้น จ่อเข้าเทรด mai ใช้ขยายธุรกิจ-คืนเงินกู้-เป็นทุนหมุนเวียน โดยมีบริษัท เวลธิเอสท์ บีซีเอ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน


บริษัท นครหลวง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ NCAP ระบุว่า บริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) version แรกต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 21 พ.ย.60 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเป็นหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 390 หุ้น และบริษัท เค.ดี. โฮลดิ้ง นำเสนอขายหุ้นเดิม จำนวน 65 ล้านหุ้น โดยประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีบริษัท เวลธิเอสท์ บีซีเอ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดยบริษัทมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ขยายธุรกิจของบริษัท และ ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้

สำหรับ NCAP ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) มามากกว่า 25 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อประเภท (1) สินเชื่อเงินกู้ยืมเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Loan) (2) สินเชื่อจากการซื้อสิทธิเรียกร้อง (Factoring) และ (3) สินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงิน (Leasing) และ (4) สินเชื่อสัญญาเช่าซื้อ (Hire Purchase) โดยบริษัทมีโครงการในอนาคตที่จะขยายธุรกิจไปให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ

ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 650 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 455 ล้านบาท โดยมีหุ้นที่ออกและชำระแล้วจำนวน 910,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.50 บาท

โดย ณ วันที่ 10 ต.ค.60 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มนายเทอดศักดิ์ บุญทศ ถือหุ้นจำนวน 685,441,280 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 75.33% ซึ่งจะลดสัดส่วนหุ้นลงหลังการเสนอขาย IPO เหลือ 47.72% กลุ่มนายเลอศักดิ์ จุลเทศ ถือหุ้น 90,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9.89% จะลดสัดส่วนเหลือ 6.92% และ บมจ.วิค แอนด์ ฮุคลันด์ (WIIK) ถือหุ้น 32,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 3.51% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 2.46%

ด้านผลประกอบการในปี 57-59 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 81.95 ล้านบาท 103.95 ล้านบาท 180.14 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยรับ และกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขาย ส่วนกำไรสุทธิจำนวน 22.82 ล้านบาทในปี 57 จำนวน 22.41 ล้านบาทในปี 58 และจำนวน 39.35 ล้านบาทในปี 59 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 27.84%, 21.57% และ 21.84% ตามลำดับ

ทั้งนี้ บริษัทชี้แจงว่าในปี 58 กำไรสุทธิลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า เนื่องจากขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนจำนวน 21 ล้านบาท แต่ในปี 59 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการเติบโตของรายได้จากการให้สินเชื่อและบริษัทมีกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขายและรายได้ดอกเบี้ยรับจากการขายทรัพย์สินรอการขายจำนวน 25.52 ล้านบาท และ 4.62 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับงวด 9 เดือนของปี 60 บริษัทมีรายได้รวม 177.71 ล้านบาท กำไรสุทธิ 39.16 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.04% และเมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4.67 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของยอดลูกหนี้สินเชื่อซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการขยายการเติบโตของลูกหนี้สินเชื่อของบริษัท

โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.60 บริษัทมีสินทรัพย์ 1,732.33 ล้านบาท หนี้สิน 894.20 ล้านบาท และ ส่วนผู้ถือหุ้น 838.03 ล้านบาท

ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินของบริษัทภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี

Back to top button