EFORL กลิ่นตุๆ ในหลุมดำ
คำชี้แจงเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯที่ลงนามโดยนายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ว่าด้วยสาเหตุของการที่ไม่สามารถส่งงบการเงินสิ้นงวดปี 2560 บอกนัยของความวุ่นวายเบื้องลึกของบริษัทย่อยใต้ร่มธงที่มีสภาพเป็น “ลูกล้างลูกผลาญ” ที่ชื่อ “วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป” (WCIG) ได้คลุมเครือมาก
แฉทุกวันทันเกมหุ้น
คำชี้แจงเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯที่ลงนามโดยนายธีรวุทธิ์ ปางวิรุฬห์รักข์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) หรือ EFORL ว่าด้วยสาเหตุของการที่ไม่สามารถส่งงบการเงินสิ้นงวดปี 2560 บอกนัยของความวุ่นวายเบื้องลึกของบริษัทย่อยใต้ร่มธงที่มีสภาพเป็น “ลูกล้างลูกผลาญ” ที่ชื่อ “วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป” (WCIG) ได้คลุมเครือมาก
ข้อเท็จจริงเบื้องหลังฉากที่ถูกนายธีรวุทธิ์อธิบายเพียงสั้นๆ ว่า “…EFORL ยังไม่ได้รับการชี้แจงจากการตรวจสอบธุรกรรมการขายทรัพย์สิน และการให้สิทธิ์แฟรนไชส์ของWCIG ….ที่เคยแจ้งต่อตลาดไปตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561…แล้วต่อมาขอยืดเวลาไปเป็น 28 กุมภาพันธ์….แล้วขยายอีกครั้งเป็น 7 มีนาคม 2561…..ทำให้ต้องขอเลื่อนการชี้แจงธุรกรรรมดังกล่าวออกไปอีกเป็นวันที่ 18 มีนาคม 2561….” ซึ่งแม้จะไม่ได้บอกอะไรเลยว่า ทำไม EFORL จึงไม่ส่งงบ…แต่ก็เข้าใจได้ เหตุผล เพราะ WCIG เป็นบริษัทลูก…ที่บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) อันเป็นบริษัทย่อยที่ EFORL ถือหุ้นอยู่มากกว่า 50%….ในเมื่อ WCIG งบไม่เสร็จ งบของ WCIH ก็ย่อมไม่แล้วเสร็จด้วย…ส่งผลต่อเนื่องให้งบ EFORL ไม่สามารถส่งได้โดยปริยาย
คำถามคือ แล้วเมื่อใด EFORL จะส่งงบได้….คำตอบยังล่องลอยในสายลม
ที่มาของการไร้คำตอบ เพราะเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้นกับ WCIG และ WCIH มีเค้าลางจะยืดเยื้อยาวนาน….ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าลิงแก้แหหลายเท่า
เสมือนหลุมดำที่ส่งกลิ่นตุๆ โชยออกมาซึ่งไม่น่าจะจบลงง่ายๆ
ล่าสุด คณะกรรมการ 4 คนที่เป็นทีมงานที่นายประพนธ์ มิลินทจินดา ไปชักชวนมานั่งใน WCIH ตั้งแต่ปี 2559 ยกทีมลาออกทั้งชุด….ก่อนที่จะถูกบีบให้ลาออก จากกลุ่มพันธมิตรถือหุ้นใหญ่ของ EFORL ….หลังจากที่ประธานใหญ่ ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย เปิดหมวกอำลาไปล่วงหน้าก่อนจาก WCIG กลางปี 2560 และจาก WCIH ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา…เพื่อไปกินยาแก้ปวด หลายกำมือ เพราะมึนงงกับสถานการณ์ “ไร้อนาคต” ของ WCIG และ WCIH….ยากที่จะอธิบายให้คนเข้าใจถึงความตกต่ำของธุรกิจที่กำลังหันรีหันขวางว่าจะทำอย่างไรให้เสียหายน้อยสุด
รากเหง้าของความวุ่นวาย เกิดขึ้นนับตั้งแต่ผู้บริหารของ EFORL ตัดสินใจกู้เงินมากว่า 2 พันล้านบาทจากธนาคารกสิกรไทย ในปี 2557 เพื่อทุ่มซื้อกิจการของ WCIH ที่มี WCIG อยู่ใต้ร่มธง โดยหวังว่าจะสร้างโมเดลธุรกิจเติบโตทางลัดสามารถทำให้ราคาหุ้นของ EFORL หวือหวาเป็นที่นิยมของแมงเม่าวิ่งขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 2 บาท แต่ก็ถดถอยลงต่อเนื่องเพราะกำไรที่พลาดเป้าต่อเนื่องจนถึงขั้นขาดทุนหนักในปี 2559 ต้องทำการเพิ่มทุนเมื่อต้นปีนี้ เพราะเงินที่ได้จากการแปลงสภาพวอร์แรนต์เมื่อกลางปี 2559 ไม่เพียงพอ
สาเหตุหลัก ล้วนมาจาก WCIG ที่เคยถูกคาดหวังว่าจะเป็น “ไข่ทองคำ”…ได้กลายเป็น “ไข่เน่า” และ “ลูกล้างลูกผลาญ” ทำให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ของนายธีรวุทธิ์และพวก ที่สร้างความฝันว่าจะปั้น WCIG เป็นดาวรุ่งฟ้าในตลาด…ผิดหวังซ้ำซาก
ความพยายามกอบกู้สถานการณ์ โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารการจัดการในคณะกรรมการของกลุ่มบริษัทวุฒิศักดิ์ทั้งหมด ด้วยการขายหุ้นเพิ่มทุนบางส่วน ให้กับกลุ่มนายประพนธ์ มิลินทจินดาเข้ามาถือหุ้น 20% ใน WCIG (เป็นดีลที่ประหลาดมากเพราะไม่มีการทำดิว ดิลิเจนซ์เลย) ที่ชักชวนให้ทีมงานมืออาชีพนำโดย ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย ทำหน้าที่เป็นแม่ทัพในฐานะประธานกรรมการของกลุ่มวุฒิศักดิ์ทั้งหมด ที่เข้ามาพร้อมกับการประกาศ “กลยุทธ์ 5 ดาวของวุฒิศักดิ์” (Wuttisak Wellness World “5-Star Strategies”) หวังสร้างความยิ่งใหญ่รอบ 2
ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยบารมีของดร.สุรเกียรติ ทำให้ได้ตัวซีอีโอ.มืออาชีพ นางมุกดา ไพรัชเวทย์ อดีตซีอีโอของค่ายเป๊ปซี่ (ประเทศไทย) มานั่งขับเคลื่อน
ทำท่าจะไปได้สวยในการฟื้นกิจการของ WCIG ช่วงแรก… ถ้าหากไม่บังเอิญนางมุกดาไปพบว่า หนี้ที่เคยมีอยู่ 500 ล้านบาทของ WCIG โผล่ทะลึ่งพรวดมาเป็น 1,100 ล้านบาทในเดือนที่สองของการทำงาน….ต้องโบกมือลากะทันหันให้คนที่เหลืออยู่จัดการ “แก้ผ้าเอาหน้ารอด” กับ “ลูกล้างลูกผลาญ” ตามมีตามเกิด
แถมยังมีการบิดเบี้ยวในคำมั่นสัญญา ด้วยการตั้งคำถามประหลาดว่า ทีมงานของดร.สุรเกียรติ ที่ดึงตัวกันเข้าไปทำงาน “ค่าตัวแพงเกินคุ้ม” …..ผลลัพธ์คือ ประธานอย่าง ดร.สุรเกียรติ ต้องลาออกจากประธานของ WCIG กลางคัน เหลือแต่ตำแหน่งประธานกรรมการ WCIH ไปเพื่อรักษาฟอร์มคนเชิญ …..นักกฎหมายเก่งแค่ไหน มีหรือจะสู้คนหัวหมอได้ (ฮา)
“ทุกขลาภ” ของ WCIH และ WCIG ยังมีเพิ่มเติม เพราะ….หลังจากที่ WCIH ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินที่ครบกำหนดชำระจากลูกค้าที่ถือตั๋วบี/อี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2560 จำนวน 150 ล้านบาท …และบลจ.โซลาริส จำกัด แจ้งต่อนักลงทุนว่า EFORL ไม่สามารถชำระคืนตั๋วแลกเงินมูลค่าหน้าตั๋ว 200 ล้านบาท ในวันที่ 12 มกราคม 2560 ได้
ผลลัพธ์คือ WCIH ไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ทางเลือกเดียวที่จะทำได้เพื่อช่วยพยุงตัวคือ เพิ่มทุนไปที่ WCIG ที่ระยะหลังหันมาสร้างรายได้พิเศษด้วยการผ่องถ่ายทรัพย์สินจากสาขาเดิมเป็นการขายแฟรนไชส์ไปได้มากกว่า 60 สาขา…ซึ่งไม่เพียงพอ เพราะทุนจดทะเบียนเดิมของ WCIG แค่ 1.5 ล้านบาท ในขณะที่ตัวเลขหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นหรือดี/อี อยู่ที่ 8 เท่าเศษ
แผนเพิ่มทุนใหม่มีการเตรียมการจนพร้อมจะเริ่มจัดการขายหุ้นในต้นปี 2560 ถูกดึงมาเรื่อย จนล่าสุดตกลงกันดิบดีว่า จะเพิ่มทุนให้ WCIG ใหม่อีก 1,500 ล้านบาท โดยที่บางส่วนมีการแปลงหนี้เป็นทุนจากบรรดาเจ้าหนี้ รวมทั้ง EFORL ด้วย
ปรากฏว่า มติเพิ่มทุนที่จะออกไปถูกนาย จักรกริสน์ โลหะเจริญทรัพย์ หนึ่งในกรรมการของ WCIG ไปร้องต่อศาล เพื่อขอให้ระงับการเพิ่มทุน และขอคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งปรากฏว่า ศาลก็มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561…พร้อมกับนัดไต่สวนว่าจะเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองหรือไม่ ในวันที่ 19 มีนาคมนี้
ก่อนจะถึงวันนัดศาล การประชุมของ WCIH ได้เกิดขึ้น และมีผลอย่างที่ทราบกันคือ กรรมการที่เคยเป็นทีมงานของ ดร.สุรเกียรติ ยื่นใบลาออกกลางที่ประชุม ……ขณะที่ EFORL ก็ยังเค้นว่าจะหาคำตอบเรื่องไม่ส่งงบการเงินอย่างไรดี …การอ้างเรื่องไม่รับการชี้แจงเรื่องของสัญญาแฟรนไชส์ในอดีต เป็นแค่การ “สร้างแพะรับบาป” ธรรมดา
ผลของการที่ไม่ส่งงบการเงิน ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายหุ้น EFORL ไม่มีกำหนด….ซึ่งก็คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะก่อนถูกขึ้น SP ราคาหุ้นก็อยู่ที่ 0.04 บาทอยู่แล้ว
ในหลุมดำของ EFORL จึงมีกลิ่นตุๆ อย่างช่วยไม่ได้
อิ อิ อิ