HPT บวกเกือบ5% นิวไฮในรอบกว่า1 ปี ชี้รายได้ปี61 โต15% หลังออเดอร์พุ่ง พ่วงแบ็คล็อก 40 ลบ.
HPT บวกเกือบ5% นิวไฮในรอบกว่า1 ปี ชี้รายได้ปี61 โต15% หลังออเดอร์พุ่ง พ่วงแบ็คล็อก 40 ลบ. โดย ณ เวลา 16.27 น. ราคาอยู่ที่ 1.29 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.88% สูงสุดที่ 1.44 บาท ต่ำสุดที่ 1.22 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 60.51 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท โฮม พอตเทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HPT ณ เวลา 16.27 น. ราคาอยู่ที่ 1.29 บาท บวก 0.06 บาท หรือ 4.88% สูงสุดที่ 1.44 บาท ต่ำสุดที่ 1.22 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 60.51 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมลบ 0.56%
ทั้งนี้ ราคาหุ้นยังปรับตัวขจึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี 1 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.29 บาท เมื่อวันที่ 20 ก.พ.60
นางสาวนิจวรรณ เชาว์กิตติโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด HPT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/61 บริษัทคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทยังมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 61 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้เติบโต 10-15% จากงวดปี 2560 ที่มีรายได้ 170 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในระหว่าง 60-90 วัน ซึ่งคำสั่งซื้อยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในปี 61 บริษัทจะเน้นขบวนการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น หลังในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการลงทุนเครื่องจักรไปแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณการผลิตปรับเพิ่มขึ้น โดยปี 61 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 3.90 ล้านชิ้นต่อปี ปรับเพิ่มขึ้น 10% จากปี 60 ที่อยู่ระดับ 3.60 ล้านชิ้นต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 95% และจากประเทศไทยอยู่ที่ 5% โดยบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าไปยังทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป ทวีปออสเตรเลีย รวมถึงทวีปเอเชีย และอื่นๆ ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
อย่างไรก็ตาม นางสาวนิจวรรณ กล่าวต่อว่า ในปี 2561-2562 คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7% จากปัจจุบันที่อยู่ 5% เนื่องจากบริษัทจะเดินหน้ารุกตลาดในประเทศมากขึ้น โดยจะเน้นขายสินค้าให้ครอบคลุมแบบครบวงจร เพื่อให้บริการครบทุกด้าน ผลักดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต
โดยประเมินว่าตลาดในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะมีผู้ผลิตไม่มากนัก โดยบริษัทมีจุดเด่นที่แตกต่างจากรายอื่นๆ ซึ่งมีราคาถูก และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ลูกค้าจำนวนมาก ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะเข้าไปสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจ
ส่วนกิจการร่วมค้าภายใต้ชื่อ Central Hospitality ที่บริษัทถือหุ้น 75% มีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดี หลังจากปี 2560 นับเป็นปีแรกที่เริ่มดำเนินการ ทำให้มีความพร้อมมากขึ้น ประกอบกับมีฐานลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าจะเป็นอีกช่องทางที่จะสนับสนุนให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“เราจะเติบโตไปพร้อมกับความยั่งยืน ด้วยการควบคุมต้นทุนให้เหมาะสม ซึ่งเราจะขยายเครื่องจักรแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพกำลังการผลิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผลิตสินค้าได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าปี 2561 จะมีรายได้เติบโต 10-15% ซึ่งปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 40 ล้านบาท รับรู้เป็นรายได้ 60-90 วัน ในระหว่างนั้นก็จะมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง” นางสาวนิจวรรณ กล่าว