สปอยล์งบฯ Q1/61 หุ้นโรงพยาบาลตัวเต็ง โบรกฯชี้กำไรกระฉูด-อัพเป้ากระหึ่ม!

สปอยล์งบฯ Q1/61 หุ้นโรงพยาบาลตัวเต็ง โบรกฯชี้กำไรกระฉูด-อัพเป้ากระหึ่ม!


เข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/2561 อย่างเต็มรูปแบบภายหลังจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยกลุ่มโรงพยาบาลถือเป็นอีกกลุ่มที่นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสดังกล่าวจะออกมาเติบโตจากไตรมาสก่อน และจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนเป็นส่วนใหญ่

ทั้งนี้ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่า กลุ่มการแพทย์ ราคาหุ้นในกลุ่มเริ่มฟื้นกลับหลังจากพักฐานในสัปดาห์ก่อน ซึ่งยังมองเป็นโอกาสซื้อ ทั้งการลงทุนระยะยาว และการเก็งกำไรระยะสั้นในงบไตรมาส 1/2561 ที่คาดว่ากำไรทั้งกลุ่มจะเติบโต 12% จากไตรมาสก่อน และ 17% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนจากโรคระบาดที่มากและรุนแรงตั้งแต่ต้นปี แนะนำซื้อ BDMS ราคาเป้าหมาย 26 บาท CHG ราคาเป้าหมาย 2.50 บาท และ EKH ราคาเป้าหมาย 7 บาท

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” BDMS ราคาเป้าหมาย 25 บาท/หุ้น โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2561 จะอยู่ที่ 2,460 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีก่อน และ 21% จากไตรมาสก่อน จาก 1) คาดรายได้เติบโตจากการระบาดของโรค ฝนตกชุก และการปรับค่ารักษาประจำปี

อีกทั้ง คาดอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น จากการปรับขึ้นค่าบริการและความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้น โดยเรายังคงประมาณการกำไรปกติปี 2561 ที่ 8,845 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน จากรายได้ที่เติบโตขึ้น ซึ่งจากรายได้ในเดือน เม.ย. 61 ก็ยังคงมีการเติบโตระดับ 2 หลัก และมีการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น ด้าน Wellness clinic คาดจะเปิด OPD ส่วนที่เหลือได้ครบในไตรมาส 3/61 และ IPD จะเปิดในปีหน้า

ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ประเมินมูลค่าโดยวิธี DCF อิง WACC ที่ 7.5% และ terminal growth 3% ได้ราคาเหมาะสมที่ 25 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ” ซึ่งเรามองว่า BDMS เป็น 1 ในโรงพยาบาลที่ได้รับผลประโยชน์จากโรคระบาดมากที่สุดเพราะมีโรงพยาบาลในเครือถึง 45 แห่ง

 

ด้าน บล.กสิกรไทย แนะนำ “ถือ” CHG ให้ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท/หุ้น (ถือ ปิด 1.93 บาท พื้นฐาน 2.20 บาท เพิ่มขึ้น14%) ยังคงแนะนำถือ CHG โดยคาดว่า CHG จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ที่ 154 ลบ. เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน และ 1% จากปีก่อน กำไรที่เติบโตสูงจากไตรมาสก่อน น่าจะเป็นผลจาก SG&A ที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่การเพิ่มขึ้น จากปีก่อนน่าจะเป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก

ทั้งนี้ คาดว่ารายได้ค่ารักษาพยาบาลจะลดลงจากไตรมาสก่อนเนื่องจากผลของฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากรายได้คนไข้ประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นจากการปรับอัตราค่าบริการเพิ่ม และจำนวนคนไข้เงินสดที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรคาดว่าอยู่ที่ 32.8% ในไตรมาส 1/61 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนแต่ลดลงจากปีก่อน

ขณะที่คาดว่า SG&A อยู่ที่ 133 ลบ. ลดลง 23% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน การลดลงมากจากไตรมาสก่อนเป็นผลจากการไม่มีการบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 27 ลบ เหมือนในไตรมาส 4/60 และผลของฤดูกาล คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 จะยังสะท้อนแรงกดดันต่ออัตรากำไรจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ กำไรในไตรมาส 1/61 คิดเป็นสัดส่วน 25.8% ของประมาณการทั้งปีของเรา โดยคาดว่ากำไรในไตรมาส 2/61 จะอ่อนตัวจากไตรมาส 1 CHG จะประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/61 ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน พ.ค. 2561

 

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” EKH ราคาเป้าหมาย 7.10 บาท/หุ้น แนวโน้มปี 61 คาดจำนวนผู้เข้าใช้บริการจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนหนึ่งจากการผ่อนคลายนโยบายเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล (ของบริษัทประกันคู่สัญญา) ทำให้คาดจะมีลูกค้าประกันฯเข้าใช้บริการสูงขึ้น (หากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) และจากเปิดให้บริการศูนย์การแพทย์ใหม่ อาทิ ศูนย์ผู้มีบุตรยาก (EKI-IVF) เริ่มให้บริการตั้งแต่ 1 ม.ค. 61

โดยกลุ่มลูกค้าให้การตอบรับค่อนข้างดี (เป็นลูกค้าจีนราว 70-80% ) ทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการสูง เฉลี่ยเดือนละ 7-8 ราย หากแต่คาดจะทยอยเพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งปีจะอยู่ที่ 120 ราย บวกคาดจะปรับขึ้นราคาห้องพัก IPD บางส่วนภายหลัง Renovate (ประมาณ 1 ใน 3 ของห้องพักทั้งหมด หรือราวๆ 30 ห้อง) ราว 10% ตั้งแต่ช่วงต้นปี ทำให้คาดรายได้กิจการรพ.ปี 61 จะอยู่ที่ 578 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% ช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ขณะต้นทุนบริการ คาดจะบริหารจัดการได้ดี ทำให้ GPM จะปรับตัวดีจากปีก่อนหน้าที่ 35.2% มาอยู่ที่ 35.9% ส่วน SG&A เทียบต่อยอดขาย คาดจะเท่ากับ 18.9% ลดลงจากปี 60 ที่ 19.1% จากควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้ปี 61 จะมีกำไรที่ 95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน

ทั้งนี้ หากไตรมาส 1/61 การดำเนินงานคาดจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่จะปรับตัวเด่นจากปีก่อนหลักๆจากฐานที่ต่ำใน ปีก่อน (จากผลกระทบนโยบายเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของลูกค้าประกันฯ) บวกกับในปีนี้มีการแพร่ระบาดของโรคสูงกว่า เช่น การระบาดของไวรัสโรต้า (โรคท้องร่วง) ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ

ส่วนการขยาย Capacity ได้แก่ ศูนย์ไตเทียม งบลงทุนราว 20-30 ล้านบาท อยู่ในระหว่างการออกแบบ ทว่าในเบื้องต้นคาดจะเพิ่มจำนวนเตียงฟอกไตได้ราว 10 เตียง จากปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ 14 เตียง คาดจะเริ่มให้บริการในไตรมาส 4/61 หรือต้นปี 62

ด้านการก่อสร้างศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่ ยังเป็นไปตามกำหนดการเดิมก่อนหน้า หากคาดจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในต้นปี 62 ส่วนศูนย์ เลสิค อยู่ในระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมทั้งนี้ คาดการดำเนินงานจะขยายตัวเด่นต่อเนื่องช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ณ ระดับราคาปัจจุบัน ทางฝ่ายแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินราคาพื้นฐานปี 61 เท่ากับ 7.10 บาท

Back to top button