AKR วิ่งฉิวกว่า6% นิวไฮในรอบเกือบ 2ปี คาดQ2 กำไรโต หลังบุ๊ครายได้โซลาร์รูฟท็อปกว่า 100ลบ.

AKR วิ่งฉิวกว่า6% นิวไฮในรอบเกือบ 2ปี คาดQ2 กำไรโต หลังบุ๊ครายได้โซลาร์รูฟท็อปกว่า 100ลบ. โดย ณ เวลา 15.47 น. อยู่ที่ระดับ 1.34 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 6.35% สูงสุดที่ 1.35 บาท ต่ำสุดที่ 1.27 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 47.26 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ AKR ล่าสุด ณ เวลา 15.47 น. อยู่ที่ระดับ 1.34 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 6.35% สูงสุดที่ 1.35 บาท ต่ำสุดที่ 1.27 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 47.26 ล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน 25 วัน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.35 บาท เมื่อวันที่ 30 ส.ค.59

นายดนุชา น้อยใจบุญ กรรมการผู้จัดการ AKR เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2/61 บริษัทคาดว่าจะมีโอกาสเติบโตดีกว่างวดไตรมาส 1/61 เนื่องจากบริษัทจะรับรู้รายได้จากงานติดตั้งโซลาร์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ของ TOYOTA มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท หลังจากได้รับงานช่วงปลายปี 2560

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการทั้งปี 2561 บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 15-20% จากปี 2560 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,732.27 ล้านบาท โดยประเมินว่าจะมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจการผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 80% และส่วนที่เหลือจะมาจากการจำหน่ายและติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปที่ระดับ 20%

ทั้งนี้ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้ายังมีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับโครงการใหญ่มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท คาดว่าจะเห็นความชัดเจนช่วงไตรมาส 2/2561 นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดขายจากโครงการโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการที่เหลือจำนวน 52 เมกะวัตต์ (MW) และโซลาร์สหกรณ์ที่เหลือจำนวน 119 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะได้รับงานประมาณ 70 ล้านบาท และคาดว่าจะทยอยประกาศความชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 2/2561

ส่วนธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในปี 2561 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ระดับ 400 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีรายได้ 70 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 50-60 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดภายในปี 2561 นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับโรงงานอุตสาหกรรมอีกหลายแห่งมูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท โดยจะทยอยประกาศความชัดเจนภายในปี 2561

โดยในปี 2561 บริษัทประเมินว่าอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) จะไม่ต่ำกว่า 5% ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่อยู่ระดับ 2.52% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของการลงทุนเครื่องจักรให้เป็นระบบอัตโนมัติ โดยใช้ระบบหุ่นยนต์เพื่อทดแทนคน ซึ่งตั้งเป้าใน 3 ปี (2561-2563) จะใช้เครื่องจักรทดแทนคนมากกว่า 10-15% และจะช่วยลดต้นทุนได้ 3-5% ต่อปี ซึ่งในปี 2561 บริษัทกำหนดงบลงทุน เพื่อใช้ในการลงทุนเครื่องจักรประมาณ 10 ล้านบาท

“เรามีการบริหารจัดการต้นทุน โดยจะใช้หุ่นยนต์แทนคนที่ปลดเกษียน คาดว่าจะลดต้นทุนได้กว่า 3-5% ต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้การสนับสนุนโครงการพลังงานทดแทนบนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่ยื่นเสนอทำโครงการให้สามารถนำไปหักภาษีเงินได้จำนวน 50% จนถึงปี 2563 ดังนั้นเชื่อว่าผลประกอบการมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายดนุชา กล่าว

Back to top button