AU-MINT รูดหนัก! เซ่นพ.ร.บ.ห้ามขาย-นำเข้าไขมันทรานส์ หวั่นกระทบกำไรปี 62
AU-MINT รูดหนัก! เซ่นพ.ร.บ.ห้ามนำเข้า-ขายไขมันทรานส์ หวั่นกระทบกำไรปี 62
สืบเนื่องจาก เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย โดยมีเนื้อหาว่า โดยปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า กรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty Acids) จากน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially Hydrogenated Oils) ส่งผลต่อการ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 6 (8) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนและอาหารที่มีน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นส่วนประกอบ เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย
ข้อ 2 ประกาศฉบับนี้ ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
โดยจากการตรวจสอบข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่า ไขมันทรานส์ เป็นไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งพบได้ไม่บ่อยในธรรมชาติ แต่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้
ทั้งนี้เนื่องจากไขมันทรานส์คือไขมันที่เกิดจากการแปรรูป จึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข และสามารถทนความร้อนได้สูง
รวมถึงมีรสชาดที่ใกล้เคียงกับไขมันที่มาจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่า บรรดาผู้ประกอบกิจการอาหารต่างๆ มักนิยมนำไขมันทรานส์มาใช้ประกอบอาหารมากมาย เช่น กลุ่มอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอดไก่ มันฝรั่ง โดนัท หรือการนำมาใช้ในการประกอบกิจการเบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม และวิปปิ้งครีม เป็นต้น
ดังนั้น “ผู้สื่อข่าว” จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นดังกล่าวอาจกระทบต้นทุนการผลิตของบริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายขนมหวานภายใต้ชื่อ “ร้านอาฟเตอร์ ยู” และ “ร้านเมโกริ” ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่มีครีมเทียม วิปปิ้งครีม เป็นส่วนประกอบ
รวมถึง บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ซึ่งมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์ อาทิ เบอร์เกอร์ คิง (Burger King) , แดรี่ ควีน (Dairy queen), เดอะ พิซซ่า คอมปะนี (The Pizza Company) และเอส เอส พี (S&P) เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทลดน้อยลงในช่วงปี 2562
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันศุกร์ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษา ประกาศกท.สาธารณสุขเกี่ยวกับเรื่องไขมันทรานส์ โดยกำหนดวัตถุห้ามใช้ในอาหาร คือ น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (ยกเว้นการผลิตเพื่อส่งออก) หรือที่เรารู้จักกันว่า ไขมันทรานส์ ได้แก่ เนยขาว เนยเทียม มาการีน โดยกำหนดให้มีผลภายใน 180 วันนับจากวันที่ประกาศ หรือตั้งแต่เดือน ม.ค. 2562 เป็นต้นไป
ทั้งนี้มองว่า การที่ พรบ.ไขมันทรานส์ โดยห้ามใช้ไขมันทรานส์ เป็นวัตถุดิบในอาหาร ทั้งนี้อาหารที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์สูงได้แก่ ครีมเทียม เนยเทียม เนยขาว มาการีน คุ้กกี้ โดนัท พัฟ พาย ขนมเวเฟอร์ต่างๆ
โดย ไขมันทรานส์ในประเทศไทยมาจาก 1) นำเข้าสินค้ามาโดยตรง เช่น พวกขนมต่างๆ และ 2) ผลิตจากการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Hydrogenated) เข้าไปในน้ำมันพืช ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากน้ำมันปาล์มเป็นหลัก ผู้ประกอบการน้ำมันปาล์มบ้านเรา มักมีกระบวนการผลิตไขมันทรานส์แทบทุกราย ส่วนน้ำมันถั่วเหลือง นำมาทำไขมันทรานส์ได้ แต่ไม่ค่อยนิยมเท่าน้ำมันปาล์ม
ทั้งนี้ TVO ไม่มีการผลิตไขมันทรานส์ และไม่มีการขายไปยังลูกค้าที่นำไปผลิตไขมันทรานส์ ลูกค้าหลักของ TVO ในส่วนของน้ำมันถั่วเหลืองคือ ผู้ผลิตอาหารกระป๋อง เช่น ทูน่ากระป๋อง และผู้ที่ซื้อไปใช้ในกระบวนการทอด
โดย การทอดในน้ำมันที่ใช้ความร้อนสูง หรือการทอดซ้ำๆก็ทำให้เกิดไขมันทรานส์ได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้ถูกครอบคลุมอยู่ในพรบ.ฉบับนี้ เพราะเป็นกระบวนการที่เกิดทางอ้อม ไม่ได้ตั้งใจผลิตหรือใช้ไขมันทรานส์โดยตรง
สำหรับหุ้นที่คาดว่าได้รับผลกระทบจาก พรบ. ไขมันทรานส์ คือ หุ้นในกลุ่มน้ำมันปาล์ม, WINNER (มีนำเข้าสินค้าที่มีส่วนผสมของไขมันทรานส์เข้ามา) และผู้ประกอบการเบเกอรี่ ทั้งนี้ภาครัฐยังให้เวลาในการปรับตัวปรับสูตร แต่หุ้นกลุ่มน้ำมันปาล์มน่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่น
โดยประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น AU และ MINT ปรับตัวลดลง ล่าสุด ณ เวลา 10.56 น. ราคาหุ้น AU อยู่ที่ระดับ 8.60 บาท ปรับตัวลดลง 0.50 บาท หรือ 5.49% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 17.12 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น MINT อยู่ที่ระดับ 34 บาท ปรับตัวลดลง 0.75 บาท หรือ 2.16% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 80.78 ล้านบาท