เก็บ 3 หุ้นตัวท็อป! รับราคาถ่านหินนิวไฮในรอบเกือบ7 ปี โบรกฯฟันธงกำไร Q2 โตเด่น-อัพไซด์สูง
เก็บ 3 หุ้นตัวท็อป! รับราคาถ่านหินนิวไฮในรอบเกือบ 7 ปี โบรกฯฟันธงกำไร Q2 โตเด่น-อัพไซด์สูง
ช่วงนี้ดัชนีราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดดัชนีราคาถ่านหิน New Castle ณ วันที่ 18 ก.ค.ปิดที่ระดับ 119.60 เหรียญสหรัฐฯต่อตันทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี โดยเทียบจากดัชนี New Castle เคยขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 119.60 เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2554
ดังนั้นเพื่อให้เข้ากับทิศทางดังกล่าว“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมบทวิเคราะห์ราคาถ่านหิน และแนวโน้มผลการดำเนินงานหุ้นถ่านหินที่คาดว่าจะออกมาสดใสในไตรมาส 2/61 โดยครั้งนี้ทำการรวบรวมมาจากบทวิเคราะห์ชั้นนำของไทย อาทิ บล.เอเชีย เวลท์,บล.เคจีไอ,บล.ไอร่า และบล.โกลเบล็ก
ทั้งนี้โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ให้ความเห็นและแนะนำเข้าลงทุนหุ้นเด่นถ่านหิน 3 ตัวคือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)หรือ BANPU,บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA และบริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือAGE โดยส่วนใหญ่มองว่าผลไตรมาส 2/61ออกมาโดดเด่นและที่สำคัญหุ้นมีอัพไซด์สูง ซึ่งได้ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ดังนี้
บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาถ่านหิน New Castle ทำนิวไฮต่อ ปรับขึ้นมาที่ 119.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เป็นบวกต่อ BANPU, LANNA, AGE ราคาถ่านหินในรอบปีนี้ ไม่อ่อนไหวตามราคาน้ำมัน ทั้งที่ช่วงไตรมาส 1/61 มีข่าวว่าจีนห้ามการนำเข้าถ่านหิน
AWS ประเมินว่า ผลบวกเกิดจากสองทาง คือ 1.การที่ ปธน.ทรัมป์ ประกาศเลิกสนใจความปลอดภัยเรื่อง Climate Change และคงเดินหน้าการใช้พลังงานฟอสซิล เพื่อทำให้ราคาเชื้อเพลิงในประเทศไม่สูงเกินไป 2.การเกิดสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ทำให้ซัพพลายของสินค้าทดแทนถ่านหิน เช่น Shale Oil และ Shale Gas คงจะข้ามมาขายในประเทศจีนได้ยากมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีการคาดว่าจะเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกที่สามารถเข้ามาตีตลาดถ่านหินได้ มองเป็นผลบวกต่อ BANPU, AGE
บล.เคจีไอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BANPU* (เป้าพื้นฐาน 26 บาท) ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร ไตรมาส 2/61 = 4.4 พันล้านบาท (+96% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 450% เทียบไตรมาสก่อนหน้า)
ขณะที่ราคาถ่านหินยังทรงตัวสูงต่อเนื่อง และโดยปกติช่วงครึ่งปีหลังจะเป็น High season ของราคาถ่านหิน (ฤดูหนาว) ราคาถ่านหิน Newcastle ล่าสุดทำนิวไฮที่ 119.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน 3) PE 2561 ต่ำเพียง 12.5 เท่า / PBV 1.27 เท่า
บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BANPU, LANNA ราคาถ่านหินปรับขึ้นทำ New High ในรอบ 6 ปีครึ่งล่าสุด 119.6 US/Ton
บล.ไอร่า ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BANPU ราคาถ่านหินยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ BANPU แนวโน้มราคาถ่านหินยังอยู่ในระดับสูง ล่าสุดราคาถ่านหิน Newcastle อยู่ที่ประมาณ 120 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
ขึ้นไปใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 ปี ที่ 124 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เมื่อก.ย.’54 คาดยังได้รับผลดีจากปริมาณความต้องการใช้ถ่านหินในภูมิภาค เช่น อินเดีย เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เติบโตดี ในขณะที่ Supply เติบโตได้อย่างจำกัด โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพิ่มขึ้นจากออสเตรเลีย
คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี’61 อยู่ที่ 7,040 ล้านบาท (รวมผลกระทบจากค่าชดเชยกรณีโรงไฟฟ้าหงสาจำนวน 2,714 ล้านบาทแล้ว) โดยผลการดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มราคาถ่านหินที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานเหมืองถ่านหินของ BANPU ทั้งที่อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย โดยเฉพาะเหมืองถ่านหินที่ออสเตรเลียคาดผลการดำเนินงานฟื้นตัวโดดเด่น เนื่องจากเป็นเหมืองใต้ดินมีต้นทุนผลิตค่อนข้างคงที่
ธุรกิจโรงไฟฟ้าเติบโตโดดเด่น จากโรงไฟฟ้าหงสาที่กลับมาเดินเครื่องได้เป็นปกติ โดยมี Availability Factor สูงที่ 93% จาก 70% ในช่วงไตรมาส1/61 คาดเงินปันผลของผลการดำเนินงานปี 2561 ที่ 0.65 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลทั้งปี 3.1% ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี’61 ที่ 28 บาท
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AGE การปรับกลยุทธ์จำหน่ายหนุน Volume ใกล้ High เดิม คาดกำไร ไตรมาส2/61 โต 48.6%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน: คาดกำไรงวด ไตรมาส2/61 ราว 49.6 ล้านบาท เติบโตทั้ง 54.4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 48.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลักๆเกิดจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายถ่านหินต่อเนื่อง (ในประเทศเป็นหลัก) หลังบริษัทปรับกลยุทธ์การจำหน่ายที่ Aggressive มากขึ้นสะท้อนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงในช่วง 1 – 2 ปี ที่ผ่านมา
ตลอดจนการ Restocking ของกลุ่มลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ๆ โดยรวมคาดว่าน่าจะเป็นผลให้ AGE มีปริมาณขายในงวดนี้ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดดั่งเช่นงวดไตรมาส 3/60 หรือที่ราว 8.6 แสนตัน เติบโต 36% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 58% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นไม่น่าต่ำเท่างวดไตรมาส3/60 ที่ 8.3% เนื่องจากการระบายสต๊อกสินค้ากลับเข้าสู่ภาวะปกติ (งวดไตรมาส 3/61 มีการระบายสต๊อกที่มีต้นทุนสูง) โดยคาดอยู่ที่ 9.3% อ่อนตัวจากงวดก่อนหน้าที่ 10.9%
ด้านปริมาณจำหน่ายที่ประเทศเวียดนามแม้ยังไม่มีนัยฯมากนักแต่ปริมาณการนำเข้าถ่านหินในเวียดนามยังคงแสดงความคึกคักต่อเนื่อง กล่าวคือ ในเดือน เม.ย. – พ.ค. 61 ที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 132.5%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 147.2%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 2.25 และ 2.46 ล้านตัน ตามลำดับ (รายงานจากกรมศุลกากรเวียดนาม) บ่งบอกโอกาสทางธุรกิจที่สดใส
ด้าน Outlook ช่วงครึ่งปีหลังภายในประเทศน่าจะยังคงมีความคึกคักอยู่ต่อเนื่อง แต่ปริมาณการจำหน่ายอาจทยอยกลับสู่ระดับการเติบโตปกติ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่มีการสั่งซื้อแบบล็อตใหญ่อาจต้องใช้เวลาในการกลับมา Restocking อีกครั้ง แต่ด้วยปริมาณการจำหน่ายช่วง 1H61 ที่อาจเกิน 50% ของประมาณการทั้งปี กอปรกับปริมาณถ่านหินในเวียดนามที่น่าจะทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Volume ถ่านหินทั้งปี 61 จึงน่าจะยังอยู่ในกรอบประมาณการของฝ่ายวิจัยที่ 2.95 ล้านตัน โดยรวมจึงยังคงประมาณการกำไรตามเดิมที่ 185 ล้านบาท เติบโต 53.3%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้ม Volume ที่น่าจะเติบโตก้าวกระโดดในไตรมาส 2 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง กอปรกับการนำเข้าถ่านหินจากประเทศเวียดนามที่คึกคักอย่างมาก จึงคาดว่า AGE จะเริ่มสะท้อนประโยชน์จากปัจจัยหนุนดังกล่าวได้ไม่ช้าก็เร็วด้วยประสบการณ์การค้าถ่านหินในประเทศไทย โดยรวมจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.73 บาท (อิง Prospective PER 17.7 เท่า จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี) มี Upside จากราคาปัจจุบัน 21.8%
ส่วนบริษัทลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมลงนามบันทึกข้อตกลง(MOU) กับอินโดนีเซีย เพาเวอร์ เพื่อเข้าร่วมทุนโรงไฟฟ้าถ่านเหิน ขนาดกำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์ สัดส่วนลงทุนประมาณ 40-49% คาดจะใช้เงินลงทุนประมาณ 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจากการเข้าไปศึกษาโครงการนี้จะให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ประมาณ 8-11% และมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD)ในเดือน ก.ค.นี้ ขณะเดียวกัน LANNA ก็ยังสามารถขายถ่านหินได้โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้อยู่ใกล้เหมือง PT. Singlurus Pratama (SGP) ที่บริษัทดำเนินการผลิตถ่านหินอยู่
นอกจากนี้ บริษัทสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศอินโดนีเซีย โดยที่ศึกษาอยู่เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล ที่ใช้พืชการเกษตรเป็นเชื้อเพลิง ขนาดกำลังการผลิต 2-3 เมกะวัตต์ โดยสถานที่ตั้งอยู่เกาะเดียวกับเหมืองถ่านหินที่บริษัทดำเนินการอยู่ และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2-3 ล้านเหรียญสหรัฐ/เมกะวัตต์ ซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าที่สร้างแล้ว ขนาด 2.4 เมกะวัตต์ และที่ต้องลงทุนสร้างใหม่ประมาณ 3 เมกะวัตต์ คาดว่าจะลงทุนได้ในปีหน้า ขณะนี้รอสัญญาขายไฟฟ้า (PPA) กับทางภาครัฐก่อน
สำหรับการจะเข้าลงทุนในโครงการสัมปทานเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียของ PT. PESONA KHATULISTIWA NUSANTARA (PKN) ในประเทศอินโดนีเซีย ใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 26 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 40% นั้น คาดว่าในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.จะเซ็นสัญญา และคาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในเดือน ก.ย.นี้ และมีความเป็นไปได้ที่ LANNA จะเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 75% ในอนาคตที่ผู้ถือหุ้นเดิมจะขายออกมา
ทั้งนี้ PKN มี PT. ENERGI NUSA MANDIRI (ENM) และ PT. CITRA DUTA JAYA MAKMUR (CDJM) ถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว โดย PKN ในประเทศอินโดนีเซีย มีแหล่งสัมปทานเหมืองถ่านหิน ที่มีปริมาณสำรอง 50 ล้านตัน เป็นถ่านหินที่มีค่าความร้อน 3,100 -3,400 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม ส่วนใหญ่ส่งออกไปประเทศอินเดีย อีกส่วนใช้ในโรงไฟฟ้า โดย LANNA ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปี จะผลิตถ่านหินจาก PKN จำนวน 5 ล้านตัน หรือดำเนินการขุดถ่านหินขึ้นมาให้ครบตามปริมาณสำรอง ภายใน 10 ปี
นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายการผลิตและขายถ่านหินของบริษัทในปี 61 เท่ากับ 6.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนผลิตและขาย 5.7 ล้านตัน แบ่งเป็นเหมือง LHI ที่ 3.9 ล้านตัน เพิ่มจากปี 60 ที่ 3.5 ล้านตัน และ เหมือง SGP คาดผลิตได้ 2.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.2 ล้านตัน
สำหรับราคาขายในไตรมาส 2/61 คาดว่าจะมีราคาเฉลี่ย 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน เทียบกับราคาขายในไตรมาส 1/61 เฉลี่ยที่ 102 เหรียญสหรัฐ/ตัน และปริมาณการขายในไตรมาส 2/61 ใกล้เคียงไตรมาส 1/61 ที่ 1.72 ล้านตัน นอกจากนี้บริษัทมียอดขายถึงไตรมาส 3/61 แล้วซึ่งคาดว่าราคาขายน่าจะดีกว่า 2 ไตรมาสแรก ทั้งนี้ราคาถ่านหินมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากความต้องการถ่านหินของจีน โดยบริษัทคาดว่าราคาถ่านหินในปี 61 เฉลี่ยอยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/61 LANNA มีรายได้จากธุรกิจถ่านหิน 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้รวม 3.08 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.62% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 257.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน