GL ฉวยจังหวะ “บาทอ่อน” แก้งบ! บุ๊คลูกหนี้ฉาวจ่ายเงินต้นคุ้มกว่า ดันงบใหม่ปี 60 ขาดทุนลดลง
GL ฉวยจังหวะ "บาทอ่อน" แก้งบ! บุ๊คลูกหนี้ฉาวจ่ายเงินต้นคุ้มกว่า ดันงบใหม่ปี 60 ขาดทุนลดลง ด้านราคาหุ้นวิ่งปิดซิลลิ่งภาคเช้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL ปิดภาคเช้าวันนี้(1ส.ค.)อยู่ที่ระดับ 6.65 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 29.13% ราคาหุ้นปิดพุ่งซิลลิ่งหลังวานนี้(31ก.ค.)บริษัทได้แจ้งแก้ไขงบการเงินปี 2560 ขาดทุนลดลงดังนี้
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL แก้ไขงบการเงินของบริษัทฯ,แบบรายงาน 56-1และแบบรายงาน 56-2 ให้ถูกต้องโดยเร็ว เนื่องจากมีเหตุสงสัยว่าการให้กู้ยืมเงินบางรายการเป็นไปโดยไม่ชอบนั้น
โดยทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้ยืมดังกล่าว โดยการว่าจ้างผู้ตรวจสอบพิเศษและที่ปรึกษากฎหมายเพื่อดำเนินการตรวจสอบธุรกรรมและผู้กู้ยืมด้วย
นอกจากนี้ เมื่อเดือนก.พ.2561 บริษัทได้แต่งตั้งกรรมการอิสระชุดใหม่ เพื่อทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการบริษัทฯ โดยก่อนหน้านี้ ในงบการเงินรายไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2560 บริษัทฯ ได้ตั้งสำรองเผื่อขาดทุนสำหรับเงินให้กู้ยืมและยุติการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมดังกล่าว ซึ่งการตั้งสำรองส่งผลให้งบการเงินของบริษัทสะท้อนผลการขาดทุนในมูลค่าสูงสุดสำหรับเงินกู้ยืมดังกล่าวแล้ว
ต่อมาผู้ตรวจสอบพิเศษได้รายงานผลการตรวจสอบ สรุปว่า ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆที่แสดงถึงความผิดปกติของเงินให้กู้ยืม ดังกล่าว อย่างไรก็ดีคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อ ผู้ถือหุ้น บรรดาผู้มีส่วนได้เสีย และการ ดำเนินการของบริษัท คณะกรรมการตรวจสอบเห็นควรให้บริษัทแก้ไขงบการเงินตามหนังสือของสำนักงานก.ล.ต. เพื่อปฏิบัติตามหนังสือของสำนักงาน ก.ล.ต. ตามที่อ้างถึง บริษัทฯได้ดำเนินการออกงบการเงินปี 2560 ฉบับแก้ไข ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี
ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับงบการเงินปี 2560 ฉบับเดิมแล้ว งบการเงินปี 2560 ฉบับที่ออกใหม่แสดงผลขาดทุนที่ลดลงจาก 1,823 ล้านบาท เป็นขาดทุน 1,607 ล้านบาท สัดส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดสำหรับสิ้นปี 2560 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับงบการเงินปี 2560 ฉบับเดิม โดยเมื่อเทียบกับงบการเงินปี 2560 ฉบับเดิม มีการเปลี่ยนแปลงในงบการเงินฉบับแก้ไข ดังนี้
ยกเลิกการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยทั้งหมดที่เคยรับรู้จากสินเชื่อที่อยู่ระหว่างข้อพิพาท ส่งผลให้มีการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยในปี 2559 และ ปี 2560 โดยปรับปรุงดอกเบี้ยที่ได้รับจากผู้กู้ทั้งหมดเป็นการชำระคืนเงินต้นแทน ซึ่งส่งผลให้ รายได้ดอกเบี้ยของปี 2559 ลดลงเป็นจำนวน 233.78 ล้านบาท และ ปี 2560 ลดลงเป็นจำนวน 177.25 ล้านบาท
เนื่องจากบริษัทได้ยุติการรับรู้รายได้ทั้งหมดที่เกี่ยวกับเงินให้กู้ยืมดังกล่าวและบันทึกการรับชำระเงินที่ได้รับจากผู้กู้ทั้งหมด เป็นการชำระคืนเงินต้น ส่งผลให้ยอดเงินต้นของเงินให้กู้ยืม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ลดลง เนื่องจากก่อนหน้านี้นั้น บริษัทฯได้ตั้งสำรองเผื่อขาดทุนสำหรับจำนวนเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยที่คาดว่าจะได้รับทั้งหมดเป็นรายจ่ายแล้วทั้งจำนวน เมื่อจำนวน เงินต้นคงค้างลดลง ย่อมส่งผลให้จำนวนการตั้งรองเผื่อขาดทุนสำหรับสินเชื่อที่อยู่ระหว่างข้อพิพาทลดลงด้วย ดังนั้นรายจ่ายอันเนื่องมาจากการตั้งรองเผื่อขาดทุนสำหรับสินเชื่อที่อยู่ระหว่างข้อพิพาทจึงลดลง 392.74 ล้านบาท
โดยภาพรวมแล้วรายได้ที่ลดลงหักลบกับรายจ่ายที่ลดลงทำให้ยอดรวมเมื่อพิจารณาตามสถานะทางการเงินเท่ากับจำนวนที่เปิดเผยในครั้งก่อน แต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่คำนวณรายได้สุทธิในเวลาที่แตกต่างกัน
โดยปี 2559 รายได้สุทธิลดลง 233.78 ล้านบาท แต่ รายได้สุทธิในปี 2560 เพิ่มขึ้น 215.50 ล้านบาท ในปี 2560 ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2559 ลดลง 236.8 ล้านบาท ขณะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ณ สิ้นปี 2560
ทั้งนี้เป็นที่สังเกตการเปรียบเทียบงบการเงินปี 2560 ฉบับเดิมกับงบการเงินปี 2560 ฉบับที่ออกใหม่ โดยเฉพาะในส่วนของการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยทั้งหมดที่เคยรับรู้ โดยได้มีการปรับปรุงมาเป็นดอกเบี้ยที่ได้รับจากผู้กู้ทั้งหมดเป็นการชำระคืนเงินต้นแทน ตรงนี้พบว่าบริษัทได้อาศัยส่วนต่างในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมาคำนวณและเพื่อแก้ไขงบการเงินปี 2560 ฉบับใหม่จนทำให้รายได้รวมบริษัทเพิ่มขึ้นและทำให้มีผลขาดทุนลดลง
โดยสาเหตุดังกล่าวคาดเป็นผลมาจากค่าเงินบาทในช่วงที่มีการการแก้ไขงบการเงินปี 2560 ฉบับใหม่ที่แจ้งจะเห็นว่าในช่วงต้น 2561 ค่าเงินบาทได้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเพียง 31.00-31.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่ล่าสุด ณ วันที่ 1 ส.ค.2561 ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 33.00 บาท/ดอลาร์สหรัฐ