THCOM บวก 2% รับ “ยูนิไวส์” ใช้บริการเน็ตดาวเทียม ฟากโบรกฯเคาะเป้าหนัก 15 บาท!
THCOM บวก 2% รับ "ยูนิไวส์" ใช้บริการเน็ตดาวเทียม ฟากโบรกฯเคาะเป้าหนัก 15 บาท! ล่าสุด ณ เวลา 11.28 น. อยู่ที่ 8.80 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 1.73% สูงสุดที่ 8.85 บาท ต่ำสุดที่ 8.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 5.08 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ล่าสุด ณ เวลา 11.28 น. อยู่ที่ 8.80 บาท บวก 0.15 บาท หรือ 1.73% สูงสุดที่ 8.85 บาท ต่ำสุดที่ 8.70 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 5.08 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้น THCOM ปรับตัวขึ้น มีสาเหตุมาจาก บริษัท ยูนิไวส์ ออฟชอร์ จำกัด ผู้ให้บริการเรือสนับสนุนภารกิจในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง เลือกใช้บริการ Nava บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมทางทะเลจาก “ไทยคม” ติดตั้งบนเรือปฏิบัติงานนอกชายฝั่งกว่า 30 ลำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพบริการทางทะเลให้แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ยูนิไวส์ ออฟชอร์ จะใช้บริการ Nava เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานในท้องทะเล อาทิ การลดช่องว่างในการติดต่อสื่อสารระหว่างชายฝั่งกับลูกเรือและผู้โดยสาร การจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น และด้วยเทคโนโลยี Fiber-To-The-Ship (FTTS) ของบริการ Nava จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และช่วยให้ลูกเรือสามารถเชื่อมต่อกับครอบครัวได้อย่างง่ายดาย
โดย Jon-Axel Hauglum ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ยูนิไวส์ ออฟชอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ด้วยแพลตฟอร์มบริการ Nava ของไทยคม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับ ยูนิไวส์ ออฟชอร์ และทำให้ลูกเรือของเราสามารถติดต่อสื่อสาร และใช้งานเชื่อมต่อบนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยเชื่อมั่นว่า Nava จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในธุรกิจทางทะเลให้กับยูนิไวส์ ออฟชอร์ ได้อย่างแน่นอน
ด้าน นายทักษิณ อุปลาคม ผู้อำนวยการ ด้าน Mobility Platform THCOM เปิดเผยว่า แพลตฟอร์ม Nava จะทำงานบนแอพพลิเคชั่นที่ได้รับการคิดค้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า โดย Nava คือ ผลลัพธ์ของการนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาพัฒนาบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในตลาดที่ยังไม่มีการสื่อสารในรูปแบบใดเข้าถึงได้มาก่อน โดยบริการดังกล่าวจะสร้างประสบการณ์ใหม่ของการติดต่อสื่อสารกันได้แม้อยู่กลางทะเล และเป็นบริการที่มีจุดเด่นทั้งในด้านความปลอดภัย เครือข่ายที่มีความยืดหยุ่น และมีทีมงานที่พร้อมดูแลและให้การสนับสนุนตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน
อนึ่ง Nava คือ บริการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียมที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ สำหรับใช้สื่อสารระหว่างเรือที่ออกไปปฏิบัติการและชายฝั่งในภูมิภาคเอเชีย แพลตฟอร์มบริการ Nava ได้เปิดตัวครั้งแรกราวต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยยกระดับการสื่อสารในอุตสาหกรรมการเดินเรือในยุคดิจิทัล Nava จะช่วยให้การปฏิบัติงานในท้องทะเลมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดช่องว่างในการติดต่อสื่อสารระหว่างชายฝั่งกับลูกเรือและผู้โดยสาร โดยสามารถเชื่อมต่อทุกคน ทุกที่ ให้สื่อสารกันได้แม้อยู่ในท้องทะเล
ขณะเดียวกัน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น THCOM ราคาเป้าหมาย 15 บาท/หุ้น โดย THCOM รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ที่ 251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ลดลง 87% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้หากไม่รวมกำไรจากการขายหุ้น CSL ซึ่งบันทึกเพียงครั้งเดียว 1.9 พันล้านบาทในไตรมาส 1/61 และรายการอัตราแลกเปลี่ยน กำไรหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 177 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 624% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
โดยกำไรสุทธิและกำไรหลักสูงกว่าคาด 259% และ 255% ตามลำดับ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ต่ำกว่าคาดอย่างมาก รายได้ กำไรขั้นต้นและอัตรากำไรขั้นต้นถือว่าเป็นไปตามคาด EBITDA ในไตรมาสนี้ลดลง 18% เมื่อเทียบจากปีก่อน (แต่เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ซึ่งส่งสัญญาณของการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่ง)
สำหรับกำไรหลักที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องมาจากรายได้ดาวเทียมแบบดั้งเดิมและดาวเทียมไอพีสตาร์ รวมถึงรายได้อื่นๆ ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งกลบผลกระทบของต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงซึ่งได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลง
รวมทั้งค่าเสื่อมราคาที่ลดลงเนื่องจากการตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์ในไตรมาส 4/60 (ซึ่งในไตรมาส 4/60 THCOM ได้ทำการตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์จำนวน 3.2 พันล้านบาทสำหรับดาวเทียมซึ่งเกิดขึ้นจากราคาเช่าช่องสัญญาณที่ลดลง และการยกเลิกสัญญาของลูกค้า ดังนั้นจึงส่งผลให้ค่าเสื่อมราคาลดลงจาก 868 ล้านบาทในปี 2560 เหลือศูนย์ในปี 2561) นอกจากนี้ในไตรมาส 2/60 รายได้อื่นๆ รวมค่าปรับจำนวน 190 ล้านบาทซึ่ง THCOM ได้รับจากเอ็นบีเอ็นออสเตรเลียจากการยกเลิกสัญญาไอพีสตาร์ก่อนกำหนด
ส่วนกำไรหลักที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และรายได้ของธุรกิจดาวเทียมที่เริ่มทรงตัวมากขึ้น รายได้ธุรกิจดาวเทียมแบบดั้งเดิมในไตรมาส 2/61 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ในขณะที่รายได้ธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์ในไตรมาส 2/61 ปรับตัวลดลงเพียงแค่ 0.3% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง ได้ปรับประมาณการกำไรหลักไตรมาส 3/61 ที่ 230 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 595% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 30% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลงจากการควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน ค่าเสื่อมราคาที่ลดลง 217 ล้านบาทต่อไตรมาสซึ่งเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เป็นต้นไป (เนื่องจากการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ดาวเทียมที่บันทึกในไตรมาส 4/60)
รวมถึงรายได้ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากสัญญาใหม่ที่เซ็นกับลูกค้าสองรายในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 (คาแนล พลัส โอเวอร์ซีส์ เมียนมาร์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเพย์ทีวีรายใหญ่ของประเทศฝรั่งเศสในเดือนมี.ค. และวีอาร์ไอที ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตรายใหญ่ของประเทศฟิลิปปินส์ในเดือนพ.ค.) การเซ็นสัญญาดังกล่าวน่าจะช่วยส่งผลให้รายได้กลับมาทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยคาด EBITDA ไตรมาส 3/61 ที่ 800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน
ขณะเดียวกันได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2561 เพิ่มขึ้นอีก 26% (ไปอยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท) และปรับประมาณการกำไรหลักปี 2561 เพิ่มขึ้นอีก 242% (ไปอยู่ที่ 656 ล้านบาท) เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ปรับลดลง (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายการการสำรองค่าเผื่อหนี้สูญซึ่งไม่ใช่รายการเงินสด) ยังคงประมาณการ EBITDA สำหรับปี 2561 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นราคาเป้าหมายของเราซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ณ สิ้นปี 2561 ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ตลาดได้รับรู้ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น (หรืออาจจะตอบสนองมากเกินไป) สำหรับ THCOM ในประเด็นเรื่องการที่ THCOM อาจไม่สามารถยิงดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นสู่วงโคจรไปแล้ว มูลค่าหุ้น ณ ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา ซึ่งอัตราส่วน EV/EBITDA ในปี 2561 อยู่ที่ระดับเพียงแค่ 2.3 เท่า เนื่องจากการฟื้นตัวของกำไรหลักรายไตรมาสเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ตั้งแต่ไตรมาส 1/61 เป็นต้นไป ซึ่งตรงกันข้ามกับมูลค่าหุ้นที่ถูกและต่ำมากเป็นประวัติกาล