PRM เด้งกว่า 5% นิวไฮรอบ 3 เดือน มั่นใจแผนปรับพอร์ตกองเรือหนุนรายได้ปีนี้โต10% แตะ5พันลบ.

PRM เด้งกว่า 5% นิวไฮรอบ 3 เดือน มั่นใจแผนปรับพอร์ตกองเรือหนุนรายได้ปีนี้โต10% แตะ5พันลบ. โดยปิดตลาดวันนี้ ราคาอยู่ที่ 8.25 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 5.10% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 7.95 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 332.57 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ปิดตลาดวันนี้ อยู่ที่ 8.25 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 5.10% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 7.95 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 332.57 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือน นับตั้งแต่ราคาอยู่ที่ระดับ 8.40 บาท เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.61

นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PRM เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปี 61 จะทำได้ที่ระดับ 5,000 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อนทำได้ 4,693.40 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก จากมีการปรับพอร์ตกองเรือโดยการลดจำนวนเรือ FSU ที่ให้บริการต่างประเทศหลังมีภาวะชะลอตัว และเน้นการให้บริการในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเรือเล็กเพิ่มขึ้นอีก 20%

ทั้งนี้ จากที่บริษัทมีแผนปรับพอร์ตเรือที่มีอายุการใช้งานมาก ในธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บ FSU ที่มีอัตราการเช่าเรือ (utilization rate) ไม่เต็มที่ออกไปก่อนในช่วงไตรมาสที่ 2/61 ทำให้อัตราการใช้ปรับตัวขึ้นมาในระดับ 80-90% ซึ่งคาดว่าแนวโน้มอัตราการเช่าเรือจะปรับตัวดีขึ้นอีกในไตรมาสที่ 3/61 เป็นมากกว่า 90% ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น บริษัทสามารถลงทุนได้ในระยะเวลาเพียง 3-4 เดือน

ขณะเดียวกันคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นที่ระดับใกล้เคียง 29% หลังครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 26.3% จากการลดต้นทุนและสามารถใช้อัตราการเช่าเรือได้เต็มที่ ทั้งนี้ ปัจจุบันธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ  FSU ที่ให้ระหว่างประเทศที่มีจำนวน 2 ลำ ขนาด 1 แสนเดทเวทตัน มีผลขาดทุนสุทธิลดลง จากการปรับสัญญาให้เช่าเป็นการขนส่งแบบมีระยะเวลา (Time Charter) จากเดิมที่เป็นการขนส่งรายเที่ยว (Spot) ซึ่งทำให้ภาระต้นทุนเชื้อเพลิงถูกส่งไปยังผู้เช่า ทำให้บริษัทมีแนวโน้มการจัดการต้นทุนได้ดีขึ้นในอนาคต

ด้านธุรกิจเรือให้บริการสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore) สามารถรับรู้รายได้เต็มที่แล้วในไตรมาสที่ 2/61 หลังเริ่มกลับไปรับงานลูกค้าในเดือนมี.ค.61 ที่ผ่านมา ซึ่งมีความสามารถรองรับการให้บริการจำนวนกว่า 300 คน ขณะเดียวกันยังสามารถมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น จากการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายการเข้ารองานได้ดีขึ้น

ส่วนธุรกิจบริหารจัดการเรือ (Ship management) บริษัทมีได้มีการเน้นเข้าบริหารโดยเฉพาะเรือขนาดใหญ่มากขึ้น ทำให้ปัจจุบันรายได้และกำไรปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 2/61 และเชื่อว่าจะมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

นายชาญวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทวางงบลงทุนกองเรือปีละราว 2-3 พันล้านบาท โดยการลงทุนซื้อเรือใหม่จะต้องดูสภาวะตลาดด้วย ซึ่งหากมีแนวโน้มที่ดีก็จะลงทุน ซึ่งเบื้องต้นบริษัทมีแผนลงทุนเรือขนาด 5 พันเดทเวทตันเพื่อทดแทนเรือเก่าในช่วงไตรมาสที่ 4/61 ทำให้บริษัทสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการ Dry Dock ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า และสามารถลดอายุเฉลี่ยกองเรือได้ โดยตั้งเป้าสิ้นปี 61 จะมีกองเรือรวมจำนวน 38 ลำ

และสำหรับแผนการลงทุนปี 62 เบื้องต้นคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/62 และไตรมาสที่ 2/62 จะมีการสั่งต่อเรือจากประเทศจีนไตรมาสละ 2 ลำ ขนาดลำละ 3 พันเดทเวทตัน เพื่อทดแทนเรือเก่าและขยายตลาดเพิ่มขึ้น สอดตล้องกับการใช้น้ำมันในประเทศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าลงทุนกองเรือในธุรกิจ Big Sea จำนวนอีก 1 ลำ ในไตรมาสที่ 2/62 ขนาด 5 พันเดทเวทตัน เพื่อขยายธุรกิจให้บริการเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี บริษัทคาดหวังว่าจะมีกองเรือจำนวน 45-50 ลำในปี 62

นอกจากนี้บริษัทเตรียมวางแผน 3-5 ปี ลงทุนธุรกิจขนส่งทางน้ำครบวงจร เพื่อการขยายตลาดให้ครอบคลุมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการในวันพรุ่งนี้ (20 ก.ย. 61) และอาจมีการลงทุนขยายกองเรือด้วย พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10%

Back to top button