ROJNA วิ่งฉิวกว่า6% โบรกฯแนะ”ซื้อ” ชูเป้า 6.70บ. ลุ้นผลงานไตรมาส 3 สดใส รับเงินบาทแข็งค่า
ROJNA วิ่งฉิวกว่า6% โบรกฯแนะ"ซื้อ" ชูเป้า 6.70บ. ลุ้นผลงานไตรมาส 3 สดใส รับเงินบาทแข็งค่า โดย ณ เวลา 16.13 น. อยู่ที่ระดับ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท หรือ 6.42% สูงสุดที่ระดับ 5.95 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 148.01 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA ณ เวลา 16.13 น. อยู่ที่ระดับ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.35 บาท หรือ 6.42% สูงสุดที่ระดับ 5.95 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 148.01 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 5.80 บาท เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.61
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (27 ก.ย.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท/หุ้น โดยกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2561 น่าผิดหวัง คาดกดราคาหุ้น กำไรสุทธิเป็น 87 ล้านบาท ลดลง 90% จากปีก่อน ทั้งนี้มีรายการพิเศษคือ ขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม TICON 34 ล้านบาท ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุน 67 ล้านบาท และขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่อ่อนค่า 19 ล้านบาท อย่างไรก็ตามหากพิจารณากำไรหลักครึ่งปีแรก 2561 เป็น 227 ล้านบาท ถือว่าฟื้นตัวดีเทียบกับจากปีก่อน เป็นขาดทุน 107 ล้านบาท ซึ่งฐานครึ่งปีแรก 2560 มีกำไรพิเศษเป็นจำนวนมากจากการตีมูลค่ายุติธรรมเพิ่มขึ้นในบริษัทร่วม
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 3/61 คาดจะฟื้นตัวชัดเจน เพราะรายการพิเศษต่างๆจะตรงข้ามกับครึ่งปีแรก 2561 คือ ไม่มีการบันทึกขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม พร้อมทั้งคาดว่าจะเกิดกำไรยังไม่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุน เพราะหุ้น GULF ที่บริษัทมีอยู่ 20 ล้านหุ้น ได้มาตอน IPO ต้นทุน 45.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 0.94%
สำหรับงวดครึ่งปีแรก 2561 ราคาหุ้นลดลงไป 3.00 บาท จึงเกิดขาดทุน แต่ปัจจุบันราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากสิ้นครึ่งปีแรก 2561 ถึง 12 บาททีเดียว และคาดว่าจะกลับมามีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนในงวดไตรมาส 3/61 เพราะบาทกลับมาแข็งค่า ต่างจากงวดไตรมาส 2/61 ที่เงินบาทอ่อนค่ามาก โดยคิดจากเงินที่ไปลงทุนยังต่างประเทศ
โดยยังมีนิคมฯที่จะเหลือโอนอีกมาก ณ สิ้นปี 60 มีนิคมฯที่ขายไปแล้วรอโอน (Backlog) 473 ไร่ และในรอบครึ่งปีแรก 2561 โอนไปแล้วประมาณ 96 ไร่ ยังเหลืออีก 377 ไร่ ที่ยังไม่โอน แต่เนื่องจากเราคาดการณ์ว่าบริษัทจะโอนได้ 400 ไร่ ในงวดปี 61 จึงคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะโอนอีกถึง 304 ไร่ ซึ่งมากกว่าครึ่งแรกปีนี้มาก ส่วนที่เหลืออีก 73 ไร่ คาดว่าจะไปโอนต่อมาในปี 62 ขณะที่ปกติแล้วยอดขายใหม่ของบริษัทจะตกปีละ 300-400 ไร่
ขณะที่ หลังขาย TICON ไป นำเงินไปลงทุนต่อยอดอนาคต ช่วงต้นปีบริษัทขายหุ้นในบริษัทร่วมคือ TICON ทั้งหมดในสัดส่วน 26.1% ที่ราคา 17.90 บาทต่อหุ้น ได้เงินมาทั้งหมด 8.6 พันล้านบาท บริษัทนำเงินไปลงทุนในหลายทางคือ กองทุนเฟรเซอร์ (FPL) ซึ่งทำธุรกิจให้เช่าคลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูป และซื้อขายที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ที่มูลค่า 2.4 พันล้านบาท สินทรัพย์ด้อยคุณภาพมูลค่า 2.7 พันล้านบาท ซึ่งมีสิทธิ์เรียกให้ลูกหนี้มาชำระ หากไม่ชำระ ก็มีสิทธิ์ฟ้องร้องยึดทรัพย์ที่จำนองไว้ แต่ก็ต้องใช้เวลา รวมทั้งซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นนิคมฯเพิ่ม คาดว่าจะเป็นที่ดินเปล่าในเขต EEC
อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นคืน จะทำเมื่อราคาหุ้นปรับลงผิดปกติ บริษัทมีมติซื้อหุ้นคืนในจำนวน 38 ล้านหุ้นหรือเป็น 1.9% จากทุนจดทะเบียน ไม่เกิน 200 ล้านบาท ตั้งแต่ 1 มิ.ย.61-30 พ.ย.61 จากการสอบถามบริษัทพบว่า จะทำการซื้อก็ต่อเมื่อราคาหุ้นปรับลงอย่างผิดปกติ จึงมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ซื้อหุ้นคืนเช่นกัน
โดยปรับประมาณการปี 61 และ 62 ลง ในอัตรา 24% และ 21% ตามลำดับ รายการที่ด้อยลงคือ ดอกเบี้ยจ่ายให้เพิ่มขึ้น และปรับอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจโรงไฟฟ้าลดลงเป็น 20% จากเดิม 21% ทั้งสองปี อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบเป็นรายปี (จากปีก่อน) กำไรหลักปีนี้และปีหน้าสูงเป็น 74% และ 13% ตามลำดับ
ทั้งนี้ คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานใหม่ปรับลงเป็น 6.70 บาท ตามประมาณการ และประเมินด้วยวิธี SOP ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 25% คาดว่า ROJNA จะได้ประโยชน์จากเลือกตั้งในปีหน้า ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีความมั่นใจมาลงทุนในไทย อีกทั้งอาจจะมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย หลังถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯสูง
อีกทั้งไทยมีนโยบายส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจ (EEC) ด้วย บริษัทยังมีนิคมฯจำหน่ายอีกมาก ณ สิ้นปี 60 มีทั้งอยุธยา ระยอง ปราจีนบุรี และชลบุรี ที่ 8,322 ไร่ และเฉพาะเขต EEC คือ ระยองและชลบุรี 3,051 ไร่ จุดเด่นคือ บริษัทมีรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าที่มีความมั่นคงในสัดส่วนราว 80% จากรายได้ทั้งหมด และปันผลดี คาดว่าอัตราผลตอบแทนเงินปันผลส่วนที่เหลือปีนี้อีก 1.1% และปีหน้าอีก 5.5% หลังจากจ่ายปันผลระหว่างกาลปีนี้ไปแล้วถึง 0.20 บาท หรืออัตราผลตอบแทน 3.7%