S จุดเริ่มต้นขาขึ้น..!?

สำนักข่าวรัชดา

หุ้นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอัตรากำไรสุทธิสูงสุด เป็นรองแค่บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เท่านั้นเอง ด้วยตัวเลขอัตรากำไรสุทธิระดับ 21.70%

หลัง “กลุ่มสิงห์ พร็อพเพอร์ตี้” เข้าตลาดหุ้นทางอ้อม ผ่านการ Backdoor Listing บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ RASA และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เมื่อปลายปี 2557 พร้อมผ่องถ่ายสินทรัพย์จาก “สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้” เข้ามา ทำให้สถานะหุ้น S “ฟื้นจากหลุมเหว” ช่วงเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น

จากปี 2558 ขาดทุนสุทธิ 260 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ -12.26%)ปี 2559 พลิกมีกำไรสุทธิ 170 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 4.65%) ปี 2560 กำไรสุทธิ 572 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 9.19%)

แจ่มกว่านั้น..เพียงครึ่งแรกปีนี้ กำไรสุทธิ 663 ล้านบาท มากกว่าปีที่แล้วทั้งปี (อัตรากำไรสุทธิ 21.73%) เรียกว่าลบภาพหุ้น RASA ที่ผู้ถือหุ้นระอา..หมดไปอย่างสิ้นเชิง..!!

สูตรสำเร็จของ S มาจาก 4 ยุทธศาสตร์หลักนั่นก็คือ..

• Smart M&A มุ่งลงทุนสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผ่านการลงทุนเพิ่ม และการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ (Expansion & Renovation) ล่าสุดลงทุนในกิจการ Outrigger Hotels Hawaii มูลค่า 11,073 ล้านบาท (จากลุ่มบุญรอดฯ)
• Strategic Move สร้างความแข็งแกร่งทางการเงินสู่การเป็น Holding Company เพื่อการเติบโตระยะยาว ภายในปี 2019 มีการนำอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส เข้ากองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในปี 2020 นั่นทำให้ S กลายเป็น Holding Company ที่สมบูรณ์
• Strong Growth สร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็วและมั่นคง จากการสร้าง Portfolio ที่มีความสมดุลทั้งธุรกิจอาคารสำนักงาน ค้าปลีก โรงแรม เพื่อสร้าง Recurring Income 50% และ Non-Recurring income 50% โดยไตรมาส 4/61 เริ่มรับรู้รายได้โครงการ The Esse Asoke และโครงการ Banyantree Residences Riverside Bangkok
• Sustainable Development การใช้กลยุทธ์สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้านการเงินและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียควบคู่กันไป

ถือว่า 4 ยุทธศาสตร์ดังกล่าว..สอดคล้องกับเป้าหมาย สู่การเป็น Premier property development & investment holding company ตามนโยบายที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้..และเริ่มปรากฏชัด จากตัวเลขงบการเงินช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

แต่แปลกตรงที่ว่า..ราคาหุ้น S ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปรับตัวลงจากระดับ 8 บาทปลาย ๆ มาสูงระดับ 3 บาทต้น ๆ..สวนทางผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดด จึงดูผิดวิสัยของหุ้นปกติทั่วไป ที่ราคาหุ้นต้องปรับขึ้นตามผลประกอบการมิใช่หรือ..!?

การฟื้นตัวของราคาหุ้น S จากก้นเหว 3 บาท ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา กำลังส่งสัญญาณ “ขาขึ้น” อย่างชัดเจน..แต่จะไปสู่ระดับเดิมได้หรือไม่..มันช่างน่าติดตามยิ่งนัก..!??

…อิ อิ อิ…