EPCO บวก 3% ตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้ทุบสถิติสูงสุดต่อเนื่อง

EPCO บวก 3% ตั้งเป้ารายได้-กำไรปีนี้ทุบสถิติสูงสุดต่อเนื่อง โดย ณ เวลา 14.56 น. อยู่ที่ 2.68 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 3.08% สูงสุดที่ 2.74 บาท ต่ำสุดที่ 2.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.47 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EPCO ณ เวลา 14.56 น. อยู่ที่ 2.68 บาท บวก 0.08 บาท หรือ 3.08% สูงสุดที่ 2.74 บาท ต่ำสุดที่ 2.60 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6.47 ล้านบาท

นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ EPCO เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.61 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้และกำไรสุทธิในปี 62 จะทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งในปีหน้าบริษัทฯ จะจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มเติมอีก 131 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 110 เมกะวัตต์ คาดจะ COD ได้ในเดือนก.ค.62 และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 21 เมกะวัตต์ คาดจะ COD ได้ในเดือนต.ค.62 ส่งผลทำให้ในปีหน้า บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตโดยรวมที่ 555 เมกะวัตต์ จากปีนี้คาดอยู่ที่ 424 เมกะวัตต์

อนึ่ง โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศเวียดนาม EPCO ถือหุ้นในสัดส่วน 65%, บมจ.คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ ซิสเต็มส์ โซลูชั่น (CSS) ถือหุ้น 25% ส่วนที่เหลือ 10% เป็นพันธมิตรในเวียดนาม

นอกจากนี้บริษัทฯ ก็อยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลม จากรัฐบาลเวียดนาม กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท คาดเห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 1/62 และคาดว่าจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในช่วงปลายปี 62 โดยจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 63 เป็นต้นไป ซึ่งจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 3 ปี อีกทั้งบริษัทฯ ก็มีความสนใจที่จะเข้าประมูลโครงการโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งคาดว่าทางหน่วยงานภาครัฐน่าจะออกประกาศ TOR ได้เร็วๆนี้

ทั้งนี้ ธุรกิจโรงพิมพ์ ซึ่งล่าสุด บริษัทฯ ได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้น บริษัท ดับบลิวพีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (WPS) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ดำเนินธุรกิจโรงพิมพ์ คิดเป็นเงินลงทุน 407 ล้านบาท โดยบริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นทั้งหมดที่ NMG ถือใน WPS จำนวน 42.25 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 84.5% ซึ่งในวันนี้ (18 ธ.ค.) ทางบริษัทฯ ได้มีการดำเนินการชำระเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถบันทึกรายได้และกำไรสุทธิเข้ามาทันที อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ตั้งเป้าจะมีรายได้จากธุรกิจโรงพิมพ์ในปี 62 ที่ 1,000 ล้านบาท โดยมีแผนต่อยอดธุรกิจไปสู่ธุรกิจแพ็คเกจจิ้ง เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่

พร้อมกันนี้บริษัทฯ วางงบลงทุนรวมปี 62 ไว้ที่ 700 ล้านบาท แบ่งเป็น 200 ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงงานผลิตกล่องลูกฟูกและบรรจุภัณฑ์อื่นๆ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงงานช่วงต้นปี 62 และจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในช่วงเดือนก.ค.62 และเริ่มรับรู้รายได้ทันที คาดว่าจะมีรายได้ในปีแรกราว 200 ล้านบาท และที่เหลืออีก 500 ล้านบาท จะใช้ในการขยายโรงไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการลงทุนต่อเนื่อง

“เรามองตลาดแพ็คเกจจิ้งถือว่าเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ จากความต้องการใช้กล่องลูกฟูกเพื่อใช้ในการส่งสินค้าออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้มีการเจรากับพันธมิตรเพื่อผลิตกล่องให้กับบมจ.ทีวี ไดเร็ค (TVD) และยังมีโอกาสขยายไปสู่ผู้จำหน่ายอื่น เช่น Kerry และ LAZADA โดยบริษัทเชื่อว่าการขายสินค้าออนไลน์จะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายผลิตภัณฑ์กล่องลูกฟูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อเนื่อง”

อย่างไรก็ตามบริษัทฯคาดสัดส่วนรายได้ในปี 62 จะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้า 40% และโรงพิมพ์ 60% จากปีนี้ที่มีสัดส่วนรายได้ใกล้เคียงกันที่ 50% ขณะที่กำไรสุทธิปีหน้าจะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ 60% และธุรกิจโรงพิมพ์ 40% จากปีนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 75% และ 25% ตามลำดับ

นอกจากนี้ นายยุทธ กล่าวว่า สำหรับแผนการนำบริษัทย่อย หรือ บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) บริษัทฯ ยังคงแผนดังกล่าวไว้ดังเดิม โดยคาดจะเข้าจดทะเบียนได้ในช่วงปลายปีหน้า และคาดจะสามารถยื่นไฟลิ่งในช่วงเดือนพ.ค.62 โดยให้บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนบางส่วน จะนำมาใช้ในการขยายธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ ยังคงมองการลงทุนในพลังงานรูปแบบรีนิวเอเบิลอย่างต่อเนื่อง

Back to top button