‘ผมเพื่อนตู่’
“ผมเพื่อนโชค” กลายเป็นไวรัล ล้อเลียนสนั่นในโลกออนไลน์ เพราะสังคมเห็นเป็นการกระทำไม่เหมาะสม ไม่ว่าคนเลือกขั้วการเมืองไหน
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
“ผมเพื่อนโชค” กลายเป็นไวรัล ล้อเลียนสนั่นในโลกออนไลน์ เพราะสังคมเห็นเป็นการกระทำไม่เหมาะสม ไม่ว่าคนเลือกขั้วการเมืองไหน
กระทั่งนายกรัฐมนตรี ต้องให้รองโฆษกฯ แถลงกลางดึก สั่งย้ายตำรวจจราจรกลับไปปฏิบัติหน้าที่เดิม พร้อมชมเชยให้กำลังใจ ทั้งยังขอให้สำนักงานศาลยุติธรรมตรวจสอบว่า คนในคลิปเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 จริงหรือไม่
นายกฯ เลยได้เสียงปรบมือกราวใหญ่ ทั้งที่ในขณะเดียวกัน ตัวเองก็แต่งตั้งเพื่อนพ้อง น้องชาย ผู้สนับสนุน ทั้งใน ครม. สนช. เข้าไปเป็น 250 ส.ว. เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี โดยที่ตัวเองเป็นแคนดิเดตของพรรคพลังประชารัฐ
แล้วอย่างนี้ สังคมรับได้ไหม กับคนที่ขับรถเข้ารัฐสภา โดยไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ต้องคัดสรร ไม่ต้องดูความเหมาะสม เพียงบอกว่า “ผมเพื่อนตู่” (ผมน้องตู่ ผมพวกตู่ ฯลฯ)
เลือกคนด้วยคอนเนคชั่น เพื่อรักษาอำนาจไว้ในกลุ่มตน แล้วบอกว่าเป็นไปตามกติกา แถมยังอ้างด้วยว่า มีธรรมาภิบาล เป็นคนดีปกครองบ้านเมือง
ทั้งสองเรื่องความจริงมาจากรากฐานเดียวกัน เป็นยอดภูเขาของระบอบอำนาจแต่งตั้ง เพียงแต่สังคมมองไม่เห็นฐานราก
แบบคนที่เกลียดนักการเมือง เกลียดการเลือกตั้ง หวังว่ารัฐประหารจะมาชะล้างความโสมม หวังว่าสภาแต่งตั้งจะเลือกแต่คนดีๆ คนมีความรู้ความสามารถ ที่ต่อสู้ในระบบเลือกตั้งไม่ได้ แพ้ไอ้พวกนักการเมืองกเฬวราก
พอเห็นสภาตู่ตั้ง ก็หงายหลัง ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้ แต่บางคนก็ยังดันทุรัง ดีกว่าให้ทักษิณชนะ บ้านเมืองจะฉิบหาย เหมือนที่ดันทุรังมาตลอด 5 ปี 13 ปี ทั้งที่ประเทศตกต่ำลงไปเรื่อยๆ จากยุคพันธมิตรที่คิดว่าไล่แม้วแล้วจะฟ้าสีทองผ่องอำไพ กลายเป็นต้องปลอบใจตัวเองว่า ย่ำแย่ยังไงก็ยังดีกว่าให้ทักษิณกลับมาๆๆ (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมันแย่ลงๆ ทั้งในเชิงระบบ ตรรกะ ศีลธรรมจรรยา)
ระบอบอำนาจตุลาการ เป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย แต่กลับไม่ยึดโยงประชาชน ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ เพราะเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง เอาผิดคนวิจารณ์ได้ กระทั่งถูกนำมาใช้ให้คุณให้โทษ ตัดสินการเมือง
คนไทยมักจินตภาพผู้พิพากษาเป็นเทพแห่งความเที่ยงธรรม เป็นเปาบุ้นจิ้นในนิยาย สัตย์ซื่อ สมถะ ไม่มีโลภโกรธหลง ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง ไม่ข้องแวะระบบอุปถัมภ์พวกพ้องเส้นสาย ไม่ว่าความจริงเบื้องหลังคลิปเป็นเช่นไร (ตำรวจอาจทำเกินเหตุ ตำรวจไม่มีอำนาจเรียกดูใบขับขี่พร่ำเพรื่อ) ตรงนี้ต่างหาก ที่ช็อกท่านผู้ชม
ทั้งที่ความจริงทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ข้าราชการทุกประเภทล้วนต้องการมีอำนาจ มียศถาบรรดาศักดิ์ มีเงินเดือนสูง มีเงินประจำตำแหน่ง ค่ารถประจำตำแหน่ง บ้านพัก เบี้ยประชุม ต้องการลาภยศสรรเสริญ ไปไหนผู้คนยกย่องเกรงใจ
ไม่ว่าทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ข้าราชการในกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ ไม่ต่างกัน ครูอาจด้อยกว่าเพื่อน ก็ยังขวนขวาย อยากเป็น ผอ. พระก็อยากได้สมณศักดิ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยก็อยากสอนหลักสูตรพิเศษ
แล้วนักการเมืองต่างตรงไหน ที่ต้องการเข้าสู่อำนาจเช่นกัน โดยผ่านการหาเสียงเอาชนะใจประชาชน ถูกตรวจสอบเข้มงวดกว่าด้วยซ้ำ ไม่ทำตามคำมั่นสัญญา ไม่สนองผลประโยชน์ประชาชน สมัยหน้าก็สอบตก
เราอยู่ในโลกของการแข่งขัน การช่วงชิงผลประโยชน์ ดีชั่วก็ต้องแข่งขัน การเมืองคือการต่อรองผลประโยชน์ระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมทุนนิยม โดยประชาธิปไตยให้เสียงข้างมากมีอำนาจต่อรองสูงกว่า
แต่ก็ยังมีคนเชื่อว่า ระบบอุปถัมภ์ อำนาจจากแต่งตั้ง เป็นปราการด่านสุดท้ายของความดีงาม ของชาติบ้านเมือง แล้วก็ยอมให้แต่งตั้งพวกพ้องเข้าสภาต่อเนื่องกันมาสิบกว่าปี