DOD ส่งซิกออเดอร์ครึ่งปีหลังทะลัก-ผนึกพันธมิตรเจาะตลาดออนไลน์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10%
DOD ส่งซิกออเดอร์ครึ่งปีหลังทะลัก-ผนึกพันธมิตรเจาะตลาดออนไลน์ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10%
นางสาวเรณุมาศ อิศรภักดี รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯมีการปรับแผนโครงสร้างทางธุรกิจ นับตั้งแต่ปลายปี 2561 ต่อเนื่องมาจนถึงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทฯปรับโครงสร้าง ธุรกิจครั้งใหญ่ โดยผ่านการหาพันธมิตรทางธุรกิจ มาร่วมเป็น Strategic Partner ภายใต้การจัดตั้งบริษัทย่อย และบริษัทร่วมทุน เพื่อให้ธุรกิจครอบคลุมการให้บริการที่มีความหลากหลาย
ทั้งนี้เพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบบครบวงจร ให้สอดรับกับแนวทางพัฒนาการให้บริการในรูปแบบ One Stop Service Solution เพื่อสร้างอัตราการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งจากแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้ทิศทางภาพรวมธุรกิจ
โดยในช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มส่งสัญญาณในทิศทางที่ดีขึ้นจะเห็นได้จากยอดออเดอร์ ผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จากบริษัท อัลทิมา ไลฟ์ จำกัด (DOD ถือหุ้นอยู่ 80%) ซึ่งดำเนินธุรกิจในรูปแบบขายตรง ภายใต้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ที่เน้นสารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด อาทิ One Whey (เวย์โปรตีน) , Levarean (เลวารีน), Prepo Fiber and Detox (เพรโป), Callox (แคลล็อกซ์), Zinegra (ซิเนกร้า) ,DOD H.Coffee (ดีโอดี เอช. คอฟฟี่) และ R3verse Vine (อาร์3เวิสวายน์) โดยล่าสุดมีออเดอร์ เข้ามาแล้วมูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลรูปร่างและผิวพรรณ,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ
ขณะที่บริษัท พีซีซีเอ แล็บบอราเทอรี่ จำกัด (PCCA) ดำเนินธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และสกินแคร์ แบบครบวงจร ซึ่งเป็นการลงทุนผ่าน บริษัท ดีโอดี เฮ้ลท์ตี้ไลฟ์ จำกัด(DOD ถือหุ้นอยู่ 99.99%) นั้น หลังจากที่บริษัทฯได้มีการออกแบบ คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายชนิดผลิตภัณฑ์ อาทิ ครีมกันแดด แผ่นมาร์คหน้า ลิปสติก ครีมรองพื้น โฟมล้างหน้า ครีมสครับหน้า โลชั่นกันยุงสำหรับเด็ก ฯลฯมากขึ้น ส่งผลให้ล่าสุด มียอดออเดอร์ที่สั่งผลิตในรูปแบบOEM เข้ามาแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ ตั้งแต่ไตรมาส3/2562 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจัดตั้งบริษัทร่วมทุน กับบริษัทผู้ประกอบการในประเทศจีน เพื่อดำเนินธุรกิจ ในการเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผ่านช่องทาง E-Commerce หรือผ่านระบบออนไลน์ ในประเทศจีน โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าว DOD ถือหุ้นสัดส่วน 25% ของทุนจดทะเบียนจำนวน 4 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายคือ การนำผลิตภัณฑ์ในเครือข่ายของบริษัทฯไปจำหน่าย ผ่านช่องทาง E-Commerce หรือผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันตลาด E-Commerce ในประเทศจีน มีมูลค่าข้างสูงที่สุดในโลก ดังนั้นเชื่อว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสและสร้างมูลค่าการเติบโตทางธุรกิจให้กับ DOD ได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต โดยเบื้องต้นคาดว่า กระบวนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะเริ่มดำเนินการ ทำการตลาดในเชิงพาณิชย์ ได้ในช่วงต้นปี2563
พร้อมทั้ง คณะกรรมการยังมีมติจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อเข้ามาบริหารจัดการโรงสกัดวัตถุดิบประเภทสมุนไพร จากเดิมที่อยู่ภายใต้การบริหารของ DOD ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการคล่องตัว ในการบริหารจัดการ ด้านการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยทาง DOD ยังคงสัดส่วนการถือหุ้น 99.99% พร้อมกับเตรียมงบลงทุนประมาณ 260 ล้านบาท นำมาขยายโรงสกัดวัตถุดิบ ลงทุนซื้อเครื่องจักรและห้องปฏิบัติการวิจัย เพื่อสกัดและส่งออกสมุนไพร ไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน เนื่องจากโดยเฉลี่ยแต่ละปี จีนมีการนำเข้าสารสกัดจากสมุนไพรเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปพัฒนาเป็นยารักษาโรค หรือส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น เวชสำอาง รวมถึงนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มเพื่อดูแลสุขภาพ ดังนั้นเชื่อว่าบริษัทย่อย ดังกล่าว จะเข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจของDOD ได้ในอนาคต โดยคาดว่าโรงสกัด ดังกล่าวคาดจะแล้วเสร็จอย่างช้าที่สุดช่วงปลายปี2563
สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯมีรายได้รวม 128.40 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 17.85 ล้านบาท และมีผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก 2562 โดยมีรายได้รวม 251.53 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 59.05 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาเหตุที่บริษัทฯมีผลประกอบการลดลงเนื่องจาก ในไตรมาส 2/2562 บริษัทมีการรับรู้รายได้ที่ลดลงจากการขายระหว่าง บริษัท กับ บริษัท อัลติมาไลฟ์ จำกัด (บริษัทย่อย) จึงทำให้ภาพรวมของบริษัทไม่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในงวดปัจจุบัน ซึ่งสินค้าดังกล่าวเมื่อมีการขายจาก บริษัท อัลติมาไลฟ์ จำกัด ให้แก่ลูกค้า
โดยบริษัทฯจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 3/2562 ส่งผลให้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2562 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นไปตามแผน ที่บริษัทฯตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำ 10% อย่างแน่นอน