SPALI คาดครึ่งปีหลังยอดขาย-ยอดโอนฟื้นตามตลาดรวม-ลุยเปิดอีก 21 โครงการใหม่

SPALI คาดครึ่งปีหลังยอดขาย-ยอดโอนฟื้นตามตลาดรวม-ลุยเปิดอีก 21 โครงการใหม่


นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด  (มหาชน) หรือ SPALI เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าแนวโน้มยอดขายและยอดโอนในไตรมาส 3/62 และไตรมาส 4/62 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/62 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของยอดขายและยอดโอน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV เริ่มมีผลบังคับใช้ทำให้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงไปอย่างมาก และคาดว่าจะค่อยๆ เห็นการฟื้นตัวของภาพรวมตลาดในช่วงไตรมาส 3/62 อย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะรุกการเปิดโครงการมากขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 21 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.02 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในกรุงเทพ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ และแนวราบ 6 โครงการ ส่วนต่างจังหวัดจะเปิดตัวแนวราบ 11 โครงการ หลังจากครึ่งปีแรกบริษัทเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมราว 2 หมื่นล้านบาท

“การเปิดโครงการที่มีจำนวนเปิดเพิ่มมากขึ้นในครึ่งปีหลังจะช่วยทำให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นได้และเป็นไปตามเป้าหมาย3.5 หมื่นล้านบาทในปี 62 แม้ว่ายังมีความท้าทายก็ตาม โดยที่ครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายแล้ว 1.33 หมื่นล้านบาท”นายไตรเตชะ กล่าว

โดยปัจจัยท้าทายในช่วงครึ่งปีหลังมาจากตลาดคอนโดมิเนียมมีการชะลอตัว หลังจากกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นนักลงทุนและเก็งกำไรหายไปค่อนข้างมากจากผลของการบังคับใช้มาตรการ LTV กดดันยอดขายโครงการคอนโดม์เนียมในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับกลุ่มลูกค้าต่างชาติส่วนหนึ่งมีการชะลอการซื้อ เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่บริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะลูกค้าต่างชาติยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย

อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อ คือ ความมั่นใจของลูกค้า เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ทำให้การตัดสินใจซื้อชะลอลงไปด้วย แม้ว่ายังมีความต้องการในการซื้ออยู่อาศัยอยู่มากก็ตาม อย่างไรก็ตาม การขายโครงการแนวราบยังเป็นปัจจัยที่หนุนภาพรวมของยอดขายให้ไปได้ต่อ เพราะลูกค้ายังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง

ด้านยอดโอนของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเห็นการปรับตัวขึ้นมากกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งมาจากการโอนโครงการใหม่ที่มีกำหนดแล้วเสร็จและทยอยโอน หลังจากครึ่งปีแรกบริษัทไม่มีการโอนโครงการใหม่เข้ามา โดยขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) 4.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีกำหนดโดนในปีนี้ 1.01 หมื่นล้านบาท

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จมีจำนวน 3 โครงการ ได้แก่  ศุภาลัย เวอเรนด้า พระราม 9 มูลค่า 4.2 พันล้านบาท ปิดการขายแล้ว 100% จะเริ่มโอนในเดือนก.ย., ศุภาลัย เอลีท สุรวงศ์ มูลค่า 2.2 พันล้านบาท มียอดขายแล้ว 60% เริ่มโอนตั้งแต่ไตรมาส 3/62 และ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท พระราม 8 มูลค่า 1.2 พันล้านบาท ปิดการขายแล้ว 100% จะเริ่มโอนในไตรมาส 3/62 เช่นกัน

พร้อมกันนั้น บริษัทจะทยอยระบายสต็อกที่เป็นสินค้าพร้อมโอนที่เหลืออยู่มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ มูลค่า 5 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียม มูลค่า 9 พันล้านบาท ทำให้บริษัทมั่นใจว่ายอดโอนได้ปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมาย 2.8 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน หลังจากครึ่งปีแรกมียอดโอน 1.08 หมื่นล้านบาท และคาดว่ากำไรในปีนี้จะสูงกว่าปีก่อน เพราะการโอนโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังที่เข้ามามากจะช่วยหนุนให้ยอดโอนและกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด และสนับสนุนกำไรทั้งปีให้เติบโตขึ้น

ทั้งนี้ นายไตรเตชะ กล่าวถึงมุมมองเรื่องที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะผ่อนคลายเกณฑ์มาตรการ LTV ในส่วนของผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกันที่จะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยของตนเองหลังแรก และไม่ถูกนับเข้าเกณฑ์เงื่อนไขสัญญาที่ 2 ที่ต้องเพิ่มเงินดาวน์เป็น 20% นั้น ปัจจุบันที่เกณฑ์ LTV ส่งผลกระทบต่อผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกัน บางรายอาจจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการผ่อนชำระกับผู้กู้ แต่เมี่อไปซื้อที่อยู่อาศัยของตนเองถูกคิดเป็นสัญญาที่ 2

โดยบริษัทมองว่าหาก ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวได้จะส่งผลดีต่อภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นการเปิดโอกาสและสร้างความมั่นใจให้กับผู้กู้ร่วมและผู้ค้ำประกันที่ต้องการซื้อบ้านของตนเอง และไม่ต้องใช้เงินดาวน์เพิ่มตามเกณฑ์ LTV ใหม่ เพราะผู้กู้และผู้ค้ำประกันบางรายอาจจะไม่ได้ช่วยผู้กู้ผ่อน เพียงแค่ใช้ชื่อมาช่วยเหลือผู้กู้ให้สามารถกู้ผ่านเท่านั้น ซึ่งการผ่อนคลายเงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ช่วยระบายสินค้าในตลาดให้ลดลง และคาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มยอดโอนให้กับบริษัทได้ราว 15-20%

นอกจากนี้ ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง บริษัทมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งบริษัทวางแผนในการออกหุ้นกู้วงเงิน 1 พันล้านบาท ในช่วงปลายปีนี้ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยราว 2% ต่อปี เพื่อนำมาทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุ และช่วยให้ต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทปรับตัวลดลง

Back to top button