AU ร่วงยาว! ลบอีก7% ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน คาดขายทำกำไร หลังราคาเกินพื้นฐาน
AU ร่วงยาว! ลบอีก7% ต่ำสุดในรอบ 3 เดือน คาดขายทำกำไร หลังราคาเกินพื้นฐาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU ณ เวลา 15.17 น. อยู่ที่ระดับ 13.00 บาท ลบ 1.00 บาท หรือ 7.14% ด้วยมูลซื้อขาย 66.64 ล้านบาท ราคาหุ้นต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นลงไปทดสอบระดับ 13.00 บาท เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.62 คาดขายทำกำไรเนื่องจากราคาหุ้นเกินพื้นฐานนักวิเคราะห์ที่ระดับ 12.90 บาท
บล.โกลเบล็ก ระบุว่า AU คาดว่าแนวโน้มครึ่งหลังปี 2562 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 2-3 สาขา ได้แก่ พัทยา ภูเก็ต และกทม.(ราชประสงค์) จังหวัดละ 1 สาขา อีกทั้งบริษัทยังมีแผนกระจายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยการเพิ่มสาขาแบบ Pop-up stores (ร้านค้าขนาดเล็ก ไม่ได้จัดตั้งถาวร) ซึ่งได้กระแสตอบรับค่อนข้างดี มีรายได้ราว 5-6 หลักต่อสาขาต่อวัน ปัจจุบันมีการตั้งสาขาอยู่ที่ MRT-สวนจตุจักร และ MRT-เพชรบุรี
นอกจากนี้ คาดว่าไตรมาส 3/62 ผลประกอบการยังคงเติบโตได้ แม้เข้าสู่ช่วงฤดูฝนจากยอดซื้อสินค้ากลับบ้าน (Take-Away) ของ Grab และ Line Man ที่โตแรง ขณะที่ ทิศทางของ %GPM ยังเติบโตดีขึ้นตามยอดของ Take-away และสาขา Pop-up stores ที่มีมาร์จิ้นดีกว่ารายได้ประเภทอื่นๆ โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 62 สู่ 259 ลบ. (เพิ่มขึ้น 32%) +75% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่กำไร 1H62 เท่ากับ 67% ของประมาณการกำไรเดิม นอกจากนี้ เรายังปรับสมมติฐาน %SG&A ลงมาที่ระดับ 40% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 44% ประกอบกับปรับเพิ่ม SSSG มาที่ระดับ 10% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 5%
สาขาที่ฮ่องกงจะเป็นสาขาแรกในต่างประเทศในรูปแบบของแฟรนไชส์: ภายหลังผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเตรียมประกาศการถอนร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีน ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงเริ่มคลี่คลายลง จึงเชื่อว่ากำหนดการเปิดสาขาแรกยังคงเป็นไปตามเดิม คือ ช่วงก่อนวันคริสต์มาส (4Q62) ขณะที่ บริษัทจะมีรายได้จากการขายแฟรนไชส์จาก 3 ส่วน คือ 1) Initial Fee 2) Royalty Fee และ 3) ซื้อวัตถุดิบกับบริษัท โดยมีอายุสัญญา 5 ปี และมีระบุขั้นต่ำในการขยายสาขาไม่น้อยกว่า 5 แห่ง ทั้งนี้ รายได้จากแฟรนไชส์จะเป็นอัพไซต์ของประมาณการกำไรปี 62
ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสู่ 12.90 บาท (จากเดิม 9.20 บาท) แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”: ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสู่ 12.90 บาท (จากเดิม 9.20 บาท) เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่เติบโตแข็งแกร่ง โดยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC เท่ากับ 9% และ Terminal Growth เท่ากับ 5.5% คำนวณได้ราคาเหมาะสม 12.90 บาท อย่างไรก็ดี ราคาปัจจุบันยังสูงกว่าราคาเหมาะสม จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”