STEC บวก2.5% โบรกฯเชียร์”ซื้อ” ชูเป้า22บ. หลังตุนแบ็กล็อกแน่น93พันลบ.-โอกาสคว้างานใหญ่สูง
STEC บวก2.5% โบรกฯเชียร์"ซื้อ" ชูเป้า22บ. หลังตุนแบ็กล็อกแน่น93พันลบ.-โอกาสคว้างานใหญ่สูง โดย ณ เวลา 15.19 น. ราคาอยู่ที่ 20.30 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.53% สูงสุดที่ 20.40 บาท ต่ำสุดที่ 19.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 548.37 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ล่าสุด ณ เวลา 15.19 น. อยู่ที่ 20.30 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 2.53% สูงสุดที่ 20.40 บาท ต่ำสุดที่ 19.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 548.37 ล้านบาท
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (4 ต.ค.2562) แนะนำ “ซื้อ” STEC ราคาเป้าหมาย 22 บาท/หุ้น โดยคาดว่ากำไร ไตรมาส 3/62 ยังไม่สดใสเป็น 246 ล้านบาท (ลดลง 35.5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน, ลดลง 8.1% จากไตรมาสก่อน) สืบเนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสนี้ปรับลง ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการรับรู้โครงการก่อสร้างที่ให้อัตรากำไรที่ต่ำ เช่น อุโมงค์หนองบอน โรงไฟฟ้าจะนะ และอาคารรัฐสภา ส่วนโครงการที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงคือ 12 โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก ได้เสร็จไปตั้งแต่ไตรมาส 1/62
โดยมีโอกาสสูงที่จะชนะประมูลโครงการสนามบินอู่ตะเภา มูลค่างานทั้งหมด 290 พันล้านบาท เพราะเหลือผู้ประมูลเพียง 2 ราย ด้าน STEC เป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้า BBS ถือหุ้นอยู่ 20% ส่วนคู่แข่งคือ Grand Consortium หากชนะจริงคาดว่า STEC จะได้เป็นผู้รับเหมางานโยธาที่มูลค่า 80 พันล้านบาท เฟสแรกเป็น 20 พันล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี คาดว่าจะทราบผลปลายปีนี้
ทั้งนี้ แนวโน้มสดใสจากคาดการณ์มีงานประมูลมากในปี 63-64 ในมูลค่าราว 600 พันล้านบาท งานขนาดใหญ่คือ รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ เช่น ม่วง แดง ส้ม และศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา
อย่างไรก็ดี คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาพื้นฐาน 22.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/BV ที่ 2.7 เท่า ประเมินกำไรปีนี้ลดลง 14.2% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และกลับไปเติบโตได้ 7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ในปี 63 คาดว่าราคาหุ้นที่ปรับลงมาถึง 17% ตั้งแต่ประกาศงบการเงินไตรมาส 2/62 ที่ไม่สดใส ได้สะท้อนไปยังราคาหุ้นพอควรแล้ว มีงานในมือสูง 93 พันล้านบาท ไปรับรู้รายได้ใน 3 ปีข้างหน้า งานรัฐสภาแห่งใหม่ที่ไม่มีกำไรใกล้เสร็จ มีโอกาสได้งานขนาดใหญ่คือ อู่ตะเภา และรถไฟฟ้าสายสีส้ม และในอนาคตจะมีรายได้สม่ำเสมอจากโครงการ หมอชิต คอมเพล็กซ์ มูลค่าลงทุน 12.1 พันล้านบาท คาดว่าเริ่มให้รายได้ตั้งแต่ปี 66