GPSC ยืนแข็ง! ไม่หวั่นหุ้นเพิ่มทุนเข้าเทรดวันแรก โบรกฯ ชี้พื้นฐานแน่น-ไตรมาส 3 โต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ล่าสุด ณ เวลา 10.10 น. อยู่ที่ระดับ 75.75 บาท ปรับตัวขึ้น 0.75 บาท หรือ 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 939.62 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นในวันนี้ (11 ต.ค.62) ปรับตัวขึ้นสวนทางกับหุ้นเพิ่มทุน GPSC จำนวน 1,321.42 ล้านหุ้นเข้าเทรดใน SET ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีแรงขายทำกำไรออกมา เนื่องจากต้นทุนในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 56 บาท ต่ำกว่าราคาในกระดาน 75 บาท

อนึ่ง GPSC จำนวน 1,321,428,567 หุ้น จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือ SET ซึ่งส่งผลให้มีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็นจำนวน 28,197,293,670 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,819,729,367 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 10 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียนจำนวน 14,983,008,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,498,300,800 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น

โดย GPSC จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 1,321,428,571 หุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 0.8819 หุ้นเพิ่มทุน ที่ราคาจองซื้อ 56 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้กำหนดจองซื้อและชำระค่าหุ้นระหว่างวันที่ 30 กันยายน-4 ตุลาคม 2562 มีผู้จองซื้อ 1,321,428,567 หุ้น คงเหลือ 4 หุ้น ทำให้ได้รับเงินสุทธิ 73,999,749,752 บาท

ด้าน นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC เปิดเผยถึงผลการเปิดจองหุ้นสามัญเพิ่มทุนมูลค่า 74,000 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 30 กันยายน-4 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมาว่า ได้รับการตอบรับจากผู้ถือหุ้นเดิมในการเข้าจองสิทธิและชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนเป็นที่เรียบร้อยตามจำนวนที่ขายหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 1,321 ล้านหุ้น ถือเป็นความสำเร็จในการออกหุ้นเพิ่มทุนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วของบริษัทอีกจำนวน 13,214,285,670 บาท กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีทุนชำระแล้วเปลี่ยนแปลงจากเดิม 14,983,008,000 บาท เป็น 28,197,293,670 บาท

สำหรับวงเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อการชำระหนี้ระยะสั้น (Bridge loan) คืนให้กับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ที่บริษัทใช้ในการเข้าซื้อกิจการของบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW และเพื่อเป็นการรักษาระดับอัตราส่วนทางการเงินให้เทียบเคียงได้กับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1 เท่า ซึ่งปรับตัวลดลงจาก 3.9 เท่า ส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่เหมาะสม สามารถรองรับการลงทุนในโครงการปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ขณะเดียวกันบริษัทมั่นใจว่าภายหลังการเพิ่มทุนจะส่งผลให้บริษัทมีสถานะทางเงินที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ ทั้งในการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานที่เป็นไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงแนวทางการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่เดินหน้าไปตามแผนงาน และการควบรวมกิจการกับ GLOW จะทำให้บริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อขีดความสามารถในการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นในปี 2563

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีมุมมองเป็นบวกกับ GPSC ที่จะมีการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคตที่ดีมาก มีความหลากหลายในประเภทของธุรกิจไฟฟ้า กระจายความเสี่ยงได้ดี ปี 2563 พร้อมจ่ายไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าไซยะบุรีจะมีการปันส่วนกำไรเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญราว 1,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ แผนการลดหนี้ลดต้นทุนการเงินของ GPSC จะนำมาซึ่งกำไรที่ดีขึ้นในอนาคต จึงแนะนำ “ซื้อ” หลังการเพิ่มทุนแล้วจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 1,498 ล้านหุ้น เป็น 2,819 ล้านหุ้น ราคาเป้าหมายหลังเพิ่มทุนจะอยู่ที่ 68 บาท/หุ้น

ขณะที่ นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า การเข้าเทรดของหุ้นเพิ่มทุน GPSC ในระยะสั้นอาจจะมีแรงขายจากการเก็งกำไร เนื่องจากต้นทุนหุ้นเพิ่มทุนที่ต่ำ โดยราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ 56 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในตลาดที่ประมาณ 75 บาท แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบมาก เพราะทิศทางธุรกิจของ GPSC ยังมีการเติบโต ซึ่งในไตรมาส 3/2562 จะมีการรับรู้รายได้จาก GLOW เข้ามาเต็ม และมีการเติบโตควบคู่ไปกับกลุ่ม ปตท. ดังนั้นโดยพื้นฐานของธุรกิจจึงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สำหรับลูกหุ้นเพิ่มทุนมองยังเป็นโอกาสสะสม ด้วยต้นทุนหุ้นเพิ่มทุนที่ต่ำมาก ซึ่งจะทำให้มีกำไรแน่นอน ทั้งนี้ ให้ราคาเหมาะสมที่ 77 บาท/หุ้น