สุขภาพดีถ้วนหน้า !! คกก.วัตถุอันตราย แบน 3 สารพิษ มีผล 1 ธ.ค. 62 ย้ำ ไร้การเมืองกดดัน
สุขภาพดีถ้วนหน้า !! คกก.วัตถุอันตราย แบน 3 สารพิษ มีผล 1 ธ.ค. 62 ย้ำ ไร้การเมืองกดดัน
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รักษาการรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ได้พิจารณาเรื่องที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้มีการพิจารณาปรับวัตถุอันตรายพาราควอตคลอร์ไพริฟอสและไกลโฟเซต ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตรจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 คือ ห้ามจำหน่าย และครอบครอง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 62 เป็นต้นไป
โดยหลังจากนี้คณะกรรมการกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะออกประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป และต้องทำหนังสือกลับมายังคณะกรรมการวัตถุอันตรายประชุมอีกครั้งก่อนวันที่ 1 ธ.ค. 62 โดยยืนยันว่า การพิจารณาครั้งนี้ ไม่มีการเมืองแทรกแซงหรือกดดันแต่อย่างใด
ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อมูลประกอบด้วยผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ได้นำบัญชานายกรัฐมนตรีไปดำเนินการโดยมีการแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่าได้มีการพิจารณาข้อมูลวิธีการและสารทางเลือกในการจัดการวัชพืชต้นทุนของวิธีการและสารทางเลือกข้อมูลสารทดแทนสารคลอร์ไพริฟอสปริมาณสารที่คงเหลือ ณ ปัจจุบันซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่าสามารถบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติได้หากยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 รายการและผู้แทนหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอข้อมูลความเป็นอันตราย และข้อมูลการตรวจสอบเฝ้าระวังสารตกค้างในสินค้าเกษตรในท้องตลาดนอกจากนี้คณะกรรมการฯยังได้นำข้อมูลและข้อเสนอที่ได้รับจากภาคส่วนต่างๆ ซึ่งมีทั้งส่วนที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้ และส่วนที่ไม่เห็นด้วยหากจะยกเลิกการใช้มาพิจารณาในที่ประชุมด้วย
สำหรับมติแบบเปิดเผยเช่นเดียวกับทุกครั้งที่มีการลงมติผลการลงมติคือ พาราควอตยกเลิกการใช้ภายในวันที่ 1 ธ.ค. 62 จำนวน 20 คน , ยกเลิกการใช้ในวันที่ 1 ธ.ค. 64 จำนวน 1 คน จำกัดการใช้จำนวน 5 คน, ไกลโฟเซตยกเลิกการใช้ จำนวน19 คน จำกัดการใช้ จำนวน 7 คน , คลอร์ไพริฟอส ยกเลิกการใช้ จำนวน 22 คน จำกัดการใช้ จำนวน4 คน
“ มติที่ประชุมเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอให้ปรับวัตถุอันตรายพาราควอตคลอร์ไพริฟอสและไกลโฟเซต ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมวิชาการเกษตร จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 62 โดยมอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรไปดำเนินการยกร่างประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น แล้วเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นในการประชุมครั้งต่อไป ทั้งนี้ ได้ขอให้กรมวิชาการเกษตรไปพิจารณาระยะเวลา ความเหมาะสมในการบริหารจัดการวัตถุอันตรายที่ยังคงเหลืออยู่หลังจากประกาศมีผลบังคับใช้ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกร หรือร้านจำหน่าย เป็นต้น โดยให้รับรองมติในที่ประชุม”
น.ส.อัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง ตัวแทนภาคเกษตรกร กล่าวว่า ต้องการมาให้กำลังใจกับคณะกรรมการฯให้มีอิสระด้านความคิด ยืนเหนือการเมือง ยึดหลักวิชาการ อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามหากมีมติแบน 3 สารดังกล่าวในวันที่ 28 ต.ค.นี้จะมีการยื่นร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวเพื่อที่จะนำส่งหลักฐานชิ้นใหม่เพื่อขอให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาข้อมูลอีกครั้ง อีกทั้งจะไปยื่นถอดถอนมติสาธารณสุข/2560 ที่เป็นต้นเหตุของการแบน 3 สารดังกล่าวเพราะมีการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ
“ข้อมูลใหม่ที่เรามีอยู่จะเกี่ยวข้องกับงานวิจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องว่างานวิจัยบางอย่างเป็นเท็จไม่ได้มีการวิจัยอย่างแท้จริง ส่วนอัตรายที่เกิดจากสารเคมีทุกตัวบนโลกใบนี้ล้วนมีพิษทั้งสิ้นแต่พิษที่เกิดจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์โดยเฉพาะพาราควอตนั้นเกษตรกรตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันไม่ได้มีเกษตรกรคนใดได้รับพิษจากสารพาราควอตยกเว้นคนที่คิดฆ่าตัวตายด้วยสารนี้เท่านั้นซึ่งหากนำเหตุผลนี้มาแบนจึงถือไม่เป็นธรรมกับเกษตรกร”น.ส.อัญชุลีกล่าว
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติสั่งห้ามใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด คือ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตว่า สิ่งที่ตนดีใจคือ เราได้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีข้าราชการและนักวิชาการที่มีคุณธรรม และมีสำนึกต่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะคณะกรรมการที่ลงมติแบนสารเคมีทั้ง 3 ชนิด สำหรับคะแนนในการลงมติก็ถือว่า ชี้ขาด ส่วนมติที่ออกมาถือว่า ประสบความสำเร็จตามเจตนารมณ์ของพรรคภูมิใจไทยหรือไม่นั้น
“ผมมองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นภารกิจของรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเรื่องการแบน 3 สารพิษนั้นไม่ได้อยู่ในนโยบายหาเสียงของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นภารกิจที่จำเป็นต้องทำ ดังนั้นจึงมีความภาคภูมิใจ ที่อธิบดีทั้ง 3 กรม ของกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยา (อย.) ต่างพร้อมใจไปโหวตอย่างเปิดเผย และทำให้บรรลุเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุข
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคัดค้านเตรียมเดินหน้ายื่นร้องต่อศาลปกครองขอให้คุ้มครองชั่วคราว เพื่อชะลอมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ใครทำอะไรได้ก็ทำ แต่เรามีหน้าที่ทำเพื่อแบน เราก็จะแบนอย่างสุดหัวใจ คนที่ค้านก็ค้านสุดหัวใจ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเราก็ได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้ว”
เมื่อถามว่า เป็นการลดความกดดันหรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้มีการนำเสนอข่าวว่า ถ้าคณะกรรมการมีมติไม่แบน รัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้อง เป็นคนละเรื่องกัน แต่เราทำตามหน้าที่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องความเป็นความตายของประชาชน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพและสารพิษ ซึ่งคนที่ไม่เคยโดนอาจไม่รู้ ถ้าตายเลยคงไม่เท่าไร แต่ป่วยเจ็บไม่ตายต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากกว่า หากยังไม่ทำเรื่องนี้ ซึ่งผลการสำรวจก็ระบุว่า สารเคมีดังกล่าวสามารถส่งผ่านไปทางทารกผ่านทางกระแสเลือดหรือผ่านทางพันธุกรรม จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณงามความดีอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่ได้มาและเสียไปไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ตามในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันเดียวกันนี้ไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าว รวมถึงมาตรการรองรับของแต่ละกระทรวงแต่อย่างใด แต่เชื่อว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่ละกระทรวงไปหาวิธีการเยียวยา และมองว่า หลังแบน 3 สารเคมีนี้แล้ว ก็อาจมีสารเคมีอื่นๆ ตามมา
เมื่อถามถึงขั้นตอนการทำลาย 3 สาร ที่ตกค้างอยู่ภายในประเทศ และใครจะเป็นผู้ดำเนินการกำจัด นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อเป็นสารต้องห้ามแล้ว จากนี้สามารถใช้ได้จนถึงวันที่ 1 ธ.ค.หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งต้องเป็นไปทีละขั้น หากใครครอบครองสิ่งที่ผิดกฎหมายก็มีขั้นตอนในการจัดการ ส่วนจะมีการเยียวยาเกษตรเกษตรกรที่สต๊อก 3 สารเคมีดังกล่าวด้วยหรือไม่นั้น ย้ำว่า สามารถใช้ได้แค่จนถึง1 ธ.ค.จากนั้นคาดว่า จะมีช่วงเวลาผ่อนผัน 1 เดือนกว่า ส่วนการเยียวยาหาสารทดแทนนั้น ก็ต้องดูว่า กระทรวงไหนมีหน้าที่อะไร ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขก็จะต้องเตรียมยารักษาคนที่โดนสารพิษเหล่านี้ด้วย
เมื่อถามว่า ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงจากรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับตนมองว่า ไม่ใช่ผลงานแต่เป็นหน้าที่ และเป็นผลงานร่วมกันของทุกคน ที่มีทั้งรมว.อุตสาหกรรม รมว.เกษตรฯ รมช.เกษตรฯ ข้าราชการ และนักวิชาการทุกคน รวมถึงคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่สนับสนุนที่ต่างทำหน้าที่อย่างเต็มที่
“วันนี้ดีครับก็เปิดเผยกันมาแล้ว ใครเห็นด้วยและใครไม่เห็นด้วยก็ตาม ถามชื่อเอาแล้วก็จำชื่อเรานี้ไว้ ส่วนผู้เห็นต่างที่จะออกมาเคลื่อนไหวก็เป็นสิทธิ แต่ก็ขอให้เคารพกฎหมาย โดยกฎหมายบอกว่า สิทธิในการใช้จะอนุมัติหรือไม่เป็นของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งที่ผ่านมาก็ยืดเวลามาพอสมควร วันนี้ที่มาโหวตเนื่องจากเวลาใกล้จะหมด ไม่ใช่มาโหวตว่า ควรหรือไม่ควรใช้เอาตอนนี้ มันก็ไม่ควรใช้มาตั้งนานแล้ว อย่าใช้วิธีการเลี่ยงบาลีหาช่องโหว่ทางกฎหมาย หรือทำสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์และเป็นโทษให้กับประชาชน เพื่อจะใช้ต่อไป อย่างไรก็ตามผมไม่ได้สนใจว่า ทำสิ่งเหล่านี้มันจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงโบว์ดำอะไร แต่ถือว่า เป็นหน้าที่ในความเป็นข้าราชการ ที่ต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและประชาชนและทำสิ่งที่ถูกต้อง และยินดีกับคนไทยทุกคนด้วย” นายอนุทิน กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติสั่งห้ามใช้ 3 สารเคมีทางการเกษตร นายอนุทิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวขอบคุณคณะกรรมการวัตถุอันตรายเฉพาะผู้ที่ลงมติแบน 3 สารเคมีอันตราย พร้อมภาพตนเองและ ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขในท่าเต้นเชียร์แบบลีดเดอร์อีกด้วย