RBF เปิดบ่ายเทรดสะบัด! บวกแรง34% จากราคา ”จอง”

RBF เปิดบ่ายเทรดสะบัด! บวกแรง34% จากราคา ”จอง”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF ณ เวลา 15.34 น. อยู่ที่ระดับ 4.44 บาท บวก 1.14 บาท หรือ 34.55% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.71 ล้านบาท โดย RBF เข้าซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก(24 ต.ค.62) โดยราคาหุ้นเปิดที่ระดับ 4.08 บาท จากราคาจองที่ 3.30 บาท เหตุพื้นฐานธุรกิจดี และเป็นบริษัทนวัตกรรมอาหารรายเดียว ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้บริหารย้ำนำเงินที่ได้จากการระดมทุน ไปลงทุนตามแผนที่ได้แจ้งไว้กับนักลงทุน

ด้าน บล.เคทีซีมิโก้  ระบุในบทิเคราะห์วันนี้(24ต.ค.62)ว่า  RBF เป็นธุรกิจ Food Ingredients ที่มีนวัตกรรมและครบวงจร โดยผลิตภัณฑ์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จสินค้าแบรนด์ใหญ่หลายราย โดยแนวโน้มกำไรธุรกิจปกติโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ใน 3 ปีข้างหน้า ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า ด้วยฐานะผู้นำเข้าสุทธิประเมินมูลค่าเหมาะสม 4.52 บาท/หุ้น

สำหรับ RBF เป็นผู้ผลิตส่วนผสมอาหารที่ครอบคลุมหลากหลายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าแบรนด์ใหญ่หลายราย มีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ มีแนวโน้มการเติบโตดีด้วยจุดเด่นด้านวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ และกำลังเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับความต้องการลูกค้าในประเทศและขยายตลาดต่างประเทศ คาดกำไรปกติโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ใน 3 ปีข้างหน้า และประเมินมูลค่าหุ้นปี 2020E ที่ 4.52 บาท/หุ้น อิง PER 20 เท่า

ด้าน นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ของ RBF เปิดเผยว่า หลังจากหุ้น RBFเปิดทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นวันแรกนั้น ราคาได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นเหนือราคาจองซื้อที่ 3.30 บาท น่าจะมาจากปัจจัยหลายอย่างทั้งพื้นฐานของธุรกิจที่ดี เพราะเป็นบริษัทเดียวที่ดำเนินธุรกิจทางด้านนวัตกรรมอาหารที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการเติบโตในอนาคตที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ในภาพรวมยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทั้งจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย โดยดูจากยอดจองซื้อหุ้นที่ล้นหลามในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่าเป็นสาเหตุทำให้หุ้นได้รับความนิยมและสนใจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจากศักยภาพของบริษัทที่ดีแล้ว บริษัทฯ ยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% หลังหักภาษีเงินได้และค่าสำรองอื่นๆ จึงเชื่อว่าหุ้น RBF เหมาะสมในการลงทุนในระยะกลาง ถึงยาวได้

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ APM เปิดเผยว่า หากประเมินจากปัจจัยพื้นฐานของ RBF แล้ว ถือได้ว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร (Food Ingredients) อย่างครบวงจรให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยมีจุดแข็งด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านอาหาร การวิเคราะห์กลิ่นและรสชาติอาหารอยู่ถึง 60 คน และธุรกิจของบริษัทมีโอกาส Disrupt ยาก เพราะผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทดแทนกันได้ยาก ดังนั้นทำให้เชื่อว่าธุรกิจของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ดร.สมชาย รัตนภูมิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ RBF เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความยินดีและขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในตัวบริษัทฯ และให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ซึ่งบริษัทฯ ก็หวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปดำเนินการตามแผนงานที่ได้วางไว้คือ ก่อสร้างโรงงานผลิตเกล็ดขนมปังและแป้งประกอบอาหาร ที่ประเทศอินโดนีเซีย นำไปปรับปรุงและซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ทั้งเครื่องจักรในการผลิตเกล็ดขนมปัง เครื่องจักรในการผลิตแป้งทอดกรอบ เครื่องจักรในการผลิตวัตถุแต่งกลิ่นรสแบบอัตโนมัติ ลงทุนเปิดบริษัทตัวแทนและห้องทดลองในประเทศสิงคโปร์ เพื่อขยายฐานลูกค้าในอนาคตของสินค้าประเภทวัตถุแต่งกลิ่นรส (Flavour) ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากการจัดโครงสร้างกลุ่มของบริษัท ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ และจากแผนงานดังกล่าวทำให้มีความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง

ทั้งนี้ บริษัทแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 6 กลุ่ม คือ กลุ่มวัตถุแต่งกลิ่นและรส และสีผสมอาหาร กลุ่มแป้งและซอส กลุ่มผลิตภัณฑ์อบแห้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง กลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติก และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซื้อมาเพื่อจำหน่าย สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 61 บริษัทมีรายได้รวม 2,738.25 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 321.11 ล้านบาท และสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 62 บริษัทมีรายได้รวม 1,412.82 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 147.23 ล้านบาท โดยในงวดครึ่งปีแรกของปี 2562 บริษัทมีค่าใช้จ่าย one Time ประมาณ 30 ล้านบาท ประกอบด้วยการตั้งด้อยค่ากิจการโรงแรมจำนวน 11.6 ล้านบาท การตั้งสำรองหนี้สินผลประโยชน์พนักงานเพิ่มเติม จำนวน 9.9 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาด้านบัญชี ที่ปรึกษาด้านกฏหมาย ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายการนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนและอื่นๆอีกประมาณ 9 ล้านบาท

Back to top button