DOD แย้มผลงานไตรมาส 4/62 ปรับตัวดี หลังคว้าออเดอร์ใหญ่ มูลค่า 300 ลบ.
DOD แย้มผลงานไตรมาส 4/62 ปรับตัวดี หลังคว้าออเดอร์ใหญ่ มูลค่า 300 ลบ.
นายธนา รังสิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/62 มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเห็นจากยอดออเดอร์ผลิตสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จากบริษัท อัลทิมา ไลฟ์ จำกัด (DOD ถือหุ้นอยู่ 80%) ซึ่งดำเนินธุรกิจในรูปแบบขายตรง ภายใต้ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร ที่เน้นสารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด
อาทิ One Whey (เวย์โปรตีน), Levarean (เลวารีน), Prepo Fiber and Detox (เพรโป), Callox (แคลล็อกซ์), Zinegra (ซิเนกร้า), DOD H.Coffee (ดีโอดี เอช. คอฟฟี่) และ R3verse Vine (อาร์3เวิสวายน์) โดยล่าสุด DOD มีออเดอร์ใหม่ เข้ามาแล้วมูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภค ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลรูปร่างและผิวพรรณ,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อดูแลสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ
“ล่าสุด DOD มียอดออเดอร์ใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่รอการส่งมอบในช่วงไตรมาส4/2562 คิดเป็นมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท ขณะที่ อัลทิมา ไลฟ์ ได้ตั้งเป้ายอดขายตรง ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ที่ระดับ 150 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถขยายฐานกลุ่มสมาชิกเป็นตัวแทนขายภายในสิ้นปีนี้แตะจำนวน 35,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 21,000 ราย ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการขับเคลื่อนผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายได้อย่างมีนัยสำคัญ” นายธนา กล่าว
ด้านนางสาวสุวารินทร์ ก้อนทอง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบริหารทั่วไป กล่าวถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2562 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 219.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 62.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.76% เนื่องจากบริษัทฯรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จำนวน 24.73 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจเครือข่าย 44.72 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 20 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 72.46% ส่วนผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกปี 2562 บริษัทฯมีรายได้รวม 471.49 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 134.79 ล้านบาท หรือ 22.23 % และ มีกำไรสุทธิ 79.09 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนจำนวน 73.29%
ทั้งนี้สาเหตุที่บริษัทฯมีผลกำไรสุทธิลดลงเนื่องจาก บริษัทฯมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจเครือข่าย อาทิ ค่าโฆษณา ค่าส่งเสริมการขาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแบบครั้งเดียว (One Time) จำนวน 11.91 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือน จะไม่ได้เป็นไปตามที่บริษัทฯคาดไว้ แต่บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร เพื่อให้สอดรับกับแนวทางพัฒนาการให้บริการในรูปแบบ One Stop Service Solution เพื่อสร้างอัตราการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
นางสาวสุวารินทร์ กล่าวเพิ่มว่า บริษัทฯได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงความจำนงผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯครั้งที่ 1 (DOD-W1) กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรกในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 โดยระยะเวลาแสดงความจำนงในการใช้สิทธิภายใน 5 วันทำการก่อนวันใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 22 – 28 พฤศจิกายน 2562 โดยอัตราการใช้สิทธิ DOD-W1 ในอัตรา 1 หน่วยมีสิทธิซื้อหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น กำหนดราคาใช้สิทธิเท่ากับ 15.75 บาทต่อหุ้น (เว้นแต่จะมีการปรับราคาใช้สิทธิตามเงื่อนไขการปรับสิทธิ)