EPG กำไรโดดเด่น

มีการวิเคราะห์กันว่า EPG ยังคงสามารถรักษาผลงานในครึ่งปีหลังเติบโตโดดเด่นจากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงจะได้ผลบวกทั้งแผนลดต้นทุน


คุณค่าบริษัท

มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ยังคงสามารถรักษาผลงานในครึ่งหลังของปี 2563 (ต.ค. 2562-มี.ค. 2563) เติบโตโดดเด่น (เพิ่มขึ้น 62% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) จากการฟื้นตัวของทุกกลุ่มธุรกิจ รวมถึงจะได้ผลบวกทั้งแผนลดต้นทุน อัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น รวมถึงต้นทุกวัตถุดิบเม็ดพลาสติกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง (HDPE, PP, PET)

ประกอบกับมีการคาดกำไรสุทธิปี 2563 (เม.ย. 2562-มี.ค. 2563) ที่ 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

หลังจากผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 (1 ก.ค. 2562-30 ก.ย. 2562) สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 บริษัทมีรายได้รวม 2,778.69 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,694.38 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 327.48 ล้านบาท หรือ 0.117 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 262.21 ล้านบาท หรือ 0.094 บาทต่อหุ้น

เป็นผลจากการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะ

1) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (EPP) ที่โดดเด่นสุด จากรายได้ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวจากไตรมาสก่อน ทำได้ดีแม้เป็นช่วง low season โดยสินค้าในกลุ่ม food packaging และสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ “eici” ที่เน้นลูกค้ากลุ่ม mass ทำยอดขายได้ดีขึ้น รวมถึง GPM ที่ดีขึ้นเป็น 20.1% จากไตรมาส 2/2562 ที่ 15.0% และไตรมาส 1/2563 ที่ 18.9% ตามต้นทุนวัตถุดิบ PP, PS และ PET ที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงอัตราการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น,

2) ธุรกิจฉนวนกันความร้อนและเย็น (Aeroflex) รายได้เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 6%  จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของรายได้ในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งเลือกใช้สินค้าระดับพรีเมียมที่มี GPM สูงด้วย โดยอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 43.5% เทียบไตรมาส 2/2562 ที่ 41.9% และไตรมาส 1/2563 ที่ 41.6%

3) ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ (Aeroklas) ดีขึ้นเล็กน้อย โดยรายได้ลดลง 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 27.6% เทียบไตรมาส 2/2562 ที่ 24.9% และไตรมาส 1/2563 ที่ 25.1% จากผลบวกของแผนลดต้นทุนของ TJM

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก (เม.ย. 2562-ก.ย. 2562) สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562  บริษัทมีรายได้รวม 5,472.07 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,327.34 ล้านบาท แต่บริษัททำกำไรได้ทั้งสิ้น 543.42 ล้านบาท หรือ 0.194 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 567.12 ล้านบาท หรือ 0.203 บาทต่อหุ้น ถือว่าบริษัทยังสามารถรักษาระดับผลกำไรได้ทรงตัว

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย)  ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 9.40 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท วิทูรปกรณ์ โฮลดิ้ง จำกัด 1,679,999,800 หุ้น 60.00%
  2. นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ 70,400,100 หุ้น 2.51%
  3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 61,345,963 หุ้น 2.19%
  4. นายชำนาญ วิทูรปกรณ์ 48,800,000 หุ้น 1.74%
  5. นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ 44,213,600 หุ้น 1.58%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายวัชรา ตันตริยานนท์ ประธานกรรมการ, กรรมการอิสระ
  2. นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, รองประธานกรรมการ
  3. นายธีระวัฒน์ วิทูรปกรณ์ กรรมการ
  4. นายชำนาญ วิทูรปกรณ์ กรรมการ
  5. นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ กรรมการ

Back to top button