BCH ตั้งเป้ารายได้ 3 ปีโตเฉลี่ย 10-15% ลุยขยายโรงพยาบาล-เพิ่มยอดผู้ประกันตน

นางสาววิมลมาลย์ กฤษณะกลิน ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ระยะ 3 ปี (ปี 63-65) จะเติบโตเฉลี่ยในระดับ 10-15% ต่อปี โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดโรงพยาบาลเพิ่มอย่างน้อย 3 แห่ง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ประกันตนภายใต้โครงการประกันสังคมให้ได้ 1 ล้านคน ในขณะเดียวกันบริษัทจะมีการเพิ่มศูนย์เฉพาะทางในด้านต่างๆภายในโรงพยาบาลด้วย

สำหรับแผนความคืบหน้าของโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งนั้น ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ขนาด 90 เตียง เปิดเฟสแรก 51 เตียง รองรับลูกค้ากัมพูชาและไทย และยังได้รับสิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ปัจจุบันก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 50% คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2/63 ตามแผน รวมงบลงทุน 890 ล้านบาท ใช้งบไปแล้ว 352 ล้านบาท คงเหลืออีก 538 ล้านบาท

ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นเนล เวียงจันทร์ ขนาด 254 เตียง เฟสแรกจะเปิดให้บริการก่อน 110 เตียง รองรับลูกค้าชาวลาว และคนไข้จากประเทศอื่นๆ ซึ่งได้นับสิทธิพิเศษยกเว้นภาษีเงินได้นิติเงินได้เป็นระยะเวลา 7 ปี ภาษีนำเข้าเครื่องทออุปกรณ์ และภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัจจุบันก่อสร้างแล้ว 30% คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/63 มูลค่าลงทุนรวม 1,570 ล้านบาท ซึ่งลงททุนไปแล้ว 490 ล้านบาท เหลือชำระอีก 1,080 ล้านบาท จะเปิดบริการเต็มรูปแบบในปี 64

ด้านโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี ขนาด 115 เตียง ที่รองรับคนไข้ประกันสังคมและคนไข้ทั่วไป การก่อสร้างมีความคืบหน้า 31%  คาดว่าจะแล้วเสร็จไตรมาส 4/63 มูลค่าลงทุนรวม 785 ล้านบาท ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 259 ล้านบาท เหลือชำระ 526 ล้านบาท จะเปิดบริการเต็มรูปแบบในปี 64

นอกจากนี้ บริษัทยังศึกษาการเปิดโรงพยาบาลในเมียนมาและกัมพูชาเพิ่มเติมด้วย เนื่องจากขณะนี้มีจำนวนลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามารักษาในประเทศไทยค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่าจะตอบโจทย์ผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของผู้ป่วยประกันตนของ BCH ปัจจุบันมีจำนวน 878,000 ราย และคาดว่าภายในสิ้นปี 62 จะมีผู้ป่วยประกันตนอยู่ที่ 880,000 ราย พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายภายในระยะ 3 ปีต่อจากนี้จะมีผู้ป่วยประกันตนแตะ 1 ล้านราย นอกจากนี้ บริษัทยังตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนคนไข้ทั่วไปมากกว่า 70%

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดศูนย์ผู้มีบุตรยาก (IVF) ซึ่งจะเป็นตัวหนุนรายได้ และการกระจายความเสี่ยงเรื่องการกระจุกตัวของรายได้เป็นอย่างดี โดยจะมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานคนไข้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงเครือข่ายประกันสุขภาพเอกชนมากขึ้น ซึ่งจะมีกำไรสุทธิได้อย่างต่อเนื่อง และมองว่าในปี 63 จะเป็นปีที่ดีของโรงพยาบาลเช่นกัน

ขณะที่อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ปัจจุบันเท่ากับ 1.04 เท่า สูงขึ้นจากปี 61 ที่อยู่ในระดับ 0.97 เท่า เนื่องจากมีการกู้เงินมาใช้ลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งในช่วง 2-3 ปีจากนี้จะขยายไปแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก

ส่วนในปี 63 จะมีการตั้งสำรองประกันสังคมหรือไม่นั้น นางสาววิมลมาลย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคมมีการชี้แจงว่ามีค่าใช้จ่ายบางตัวค้างชำระ ดังนั้นการตั้งสำรองในไตรมาส 4/62 อาจมีบ้างเล็กน้อย โดยบริษัทจะต้องพูดคุยกับฝ่ายจัดการอีกครั้งในการกำหนดนโยบาย แต่มีค่าใช้จ่ายบางตัวที่รอชำระอยู่ และไม่สามารถบอกชัดเจนว่าจะได้มามากน้อยเพียงใด หากได้รับมาเพียงพอก็อาจไม่มีการตั้งสำรองขึ้น ซึ่งยังรอความชัดเจนจากสำนักงานประกันสังคม