ธปท.เชื่อส่งออกธ.ค.62 เริ่มฟื้น-ศก.ไทยปี 63 โต 2.8% หลังเจรจาการค้าราบรื่น

ธปท.เชื่อส่งออกธ.ค.62 เริ่มฟื้น-ศก.ไทยปี 63 โต 2.8% หลังเจรจาการค้าราบรื่น


น.ส.พรเพ็ญ สดศรีชัย ผู้อำนวยการสำนักวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าแนวโน้มการส่งออกของไทยในเดือนธ.ค.62 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีจะดีขึ้นกว่าเดือนที่แล้ว โดยน่าจะติดลบน้อยลง ซึ่งเป็นผลมาจากเริ่มเห็นความชัดเจนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเฟสแรกที่จะมีขึ้นในต้นปี 63 นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับฐานการส่งออกในเดือน ธ.ค.61 ที่ต่ำ จึงน่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้มูลค่าการส่งออกเดือนธ.ค.นี้ ดีขึ้นกว่าเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา

“เราคาดว่าส่งออก ธ.ค.นี้ จะติดลบน้อยกว่าพ.ย. เพราะฐานธ.ค.ปี 61 ต่ำ…นอกจากนี้ การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเฟสแรก เริ่มจะมีความชัดเจน จากที่บรรยากาศยังอึมครึมในเดือนพ.ย. ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่ตัวเลขการส่งออกในเดือนธ.ค.นี้ จะหดตัวน้อยกว่า พ.ย.” น.ส.พรเพ็ญ ระบุ

ทั้งนี้ ธปท.คาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกของไทยในปี 62 นี้จะหดตัว -3.3% ขณะที่คาดว่าในปี 63 มูลค่าส่งออกจะขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 0.5%

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 63 ว่า ธปท.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2.8% ซึ่งดีขึ้นกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 2.5% พร้อมมองว่าปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปีหน้ายังมาจากภาคการส่งออกและการลงทุนเป็นหลัก ทั้งการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งในเรื่องการส่งออกนั้น แม้ปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์การค้าโลกยังคงมีอยู่ แต่เชื่อว่าการส่งออกปีหน้าจะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้

ส่วนการลงทุนนั้น ในด้านการลงทุนภาครัฐ จากที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จะมีผลใช้ได้ในช่วงต้นปี ก็เชื่อว่าจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเข้าไปสู่โครงการต่างๆ ของภาครัฐได้มากขึ้น ทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ยังเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยสร้างความมั่นใจให้กับการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นตามมา

“อยากฝากความหวังไว้ที่การลงทุนภาคเอกชน อยากเห็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากที่ผ่านมายังลงทุนต่ำ ซึ่งมองว่า ภาวะการเงินก็ยังเอื้อให้กับการลงทุนภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อม เมื่อเศรษฐกิจกลับมาแล้ว ก็จะได้เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และสามารถเอื้อกับการส่งออกด้วย” น.ส.พรเพ็ญกล่าว

พร้อมย้ำว่า ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจคงจะหวังพึ่งแต่การส่งออกด้านเดียวคงไม่ได้ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้นต้องเน้นเรื่องการลงทุนควบคู่กันไป เพราะการลงทุนนอกจากจะช่วยในเรื่องการพยุงเศรษฐกิจระยะสั้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่เศรษฐกิจในระยะยาวด้วย

“ถ้าเป็นไปได้ อยากให้เพิ่มในเรื่องของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นลงทุนภาครัฐ ลงทุนภาคเอกชน เพื่อจะช่วยเสริมให้กับการส่งออกและการท่องเที่ยวด้วย เพราะการส่งออกสินค้ายังมีความไม่แน่นอนจากการค้าโลกอยู่” น.ส.พรเพ็ญกล่าว

ทั้งนี้ ธปท.คาดการณ์ว่า ในปี 63 การลงทุนภาครัฐ จะขยายตัวได้ 6.3% ส่วนการลงทุนภาคเอกชน จะขยายตัวได้ 3.4%

Back to top button