“พาณิชย์” กำหนดแนวทางผลักดัน SMART โชว์ห่วย สร้างความคล่องตัวเศรษฐกิจฐานราก

“กระทรวงพาณิชย์” กำหนดแนวทางพัฒนาร้านโชว์ห่วยกว่า 30,000 รายทั่วประเทศ ยกระดับเป็น SMART โชว์ห่วย สร้างความคล่องตัวเศรษฐกิจฐานราก


นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาร้านค้าโชว์ห่วยทั่วประเทศเพื่อยกระดับให้เป็นร้าน Smart โชว์ห่วย ว่า ขณะนี้ได้บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและพันธมิตรภาคเอกชน

โดยมีความคืบหน้าไปในหลายด้าน เริ่มจากการสำรวจร้านค้าโชว์ห่วยทั่วประเทศที่มีความพร้อมจำนวนกว่า 30,000 ราย ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 4 ขนาด คือ ขนาด SS มีพื้นที่ 1 คูหา (ประมาณ 20 ตร.ม.) หรือรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/เดือน คิดเป็นสัดส่วน 56.2% , ขนาด S มีพื้นที่ 2 คูหา (ประมาณ 40 ตร.ม.) หรือรายได้ 30,000-50,000 บาท/เดือน คิดเป็นสัดส่วน 21.7% , ขนาด M มีพื้นที่ 3 คูหา (ประมาณ 60 ตร.ม.)  หรือรายได้ 50,001-100,000 บาท/เดือน คิดเป็นสัดส่วน 12.6% และขนาด L มีพื้นที่มากกว่า 3 คูหา (มากกว่า 60 ตร.ม.) หรือรายได้มากกว่า 100,000/เดือน คิดเป็น 9.5%

ทั้งนี้ ได้นำผลสำรวจดังกล่าวมาจัดทำเครื่องมือการพัฒนาให้เหมาะสมกับร้านโชว์ห่วยแต่ละขนาด และวิเคราะห์เชิงลึกถึงจุดอ่อนที่ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาให้เป็นร้าน SMART โชว์ห่วย โดยกำหนดไว้ 5 แนวทาง คือ

  1. การปรับภาพลักษณ์ร้านค้าโชว์ห่วยให้เชิญชวนลูกค้ามาเข้าร้าน โดยกำหนดหลักสูตรให้ความรู้ พร้อมลงพื้นที่ร่วมกับพันธมิตรสถาบันการศึกษา , บมจ.สยามแม็คโคร (MAKRO) , บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทยเทรดดิ้ง จำกัด และสมาคมการค้าส่ง-ปลีกไทย
  2. ส่งเสริมการนำเทคโนโลยี POS มาใช้เพื่อบริหารร้านค้า สำหรับร้านขนาด SS และ S เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากและถูกจำกัดด้วยงบประมาณในการลงทุน จึงได้ส่งเสริมให้ใช้โปรแกรม Mobile POS ซึ่งปัจจุบันทุกคนมีโทรศัพท์มือถือที่เป็น Smart Phone อยู่แล้วก็จะสามารถใช้อุปกรณ์ที่มีมาช่วยในการบริหารร้านได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมมากนัก

สำหรับร้านขนาด M และ L เป็นร้านขนาดกลาง-ใหญ่มีการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น จึงต้องมีเครื่องมือและโปรแกรมเพื่อบริหารจัดการได้แบบครบวงจรด้วยระบบ POS ผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) โดยให้คูปองส่วนลดจำนวน 10,000 บาท เพื่อซื้อโปรแกรมดังกล่าวได้ในราคาพิเศษ อย่างไรก็ดี หากร้านขนาด S มีความพร้อมในการลงทุนก็สามารถใช้งานระบบและสิทธิประโยชน์นี้ได้เช่นกัน

  1. ด้านการส่งเสริมการตลาด ร่วมกับผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายรายใหญ่ (Supplier) จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับร้านค้าโชว์ห่วยเพื่อนำสินค้ามาจำหน่ายในร้านด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
  2. เพิ่มรายได้ด้วยบริการเสริมจากการสนับสนุนของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด โดยใช้พื้นที่ของร้าน SMART โชว์ห่วยเป็นจุดรับ-ส่งพัสดุ (Drop-off) รวมถึงเชื่อมโยงผู้ผลิตสินค้าชุมชน และ OTOP Select ให้นำสินค้ามาจำหน่ายในร้านซึ่งจะส่งผลดีตลอดทั้งวงจรของเศรษฐกิจในท้องถิ่น ทั้งผู้ผลิตสินค้ามีโอกาสกระจายสินค้าได้มากขึ้น และร้านโชว์ห่วยก็จะมีช่องทางการเพิ่มรายได้

และ 5. การเข้าถึงเงินทุน ร้านโชว์ห่วยจำเป็นจะต้องมีเงินทุนสำหรับลงทุนเพื่อประโยชน์ในระยะยาว จึงได้ร่วมกับสถาบันทางการเงินให้การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ร้านโชว์ห่วยสามารถขยับขยายธุรกิจของตนเองให้เติบโตและมั่นคงได้

สำหรับแนวทางการดำเนินงานขั้นต่อไปจะเข้าสู่การนำเครื่องมือ 5 ด้านที่ได้กำหนดให้เหมาะสมกับร้านโชว์ห่วยแต่ละขนาดมาปฏิบัติใช้ พร้อมกับลงพื้นที่จริงเพื่อเปลี่ยนร้านโชว์ห่วยแบบดั้งเดิมให้สำเร็จเป็นร้าน SMART โชว์ห่วยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความคล่องตัว และเจ้าของธุรกิจรายเล็กๆ ในท้องถิ่นก็จะเป็นพลังสำคัญของประเทศต่อไป

Back to top button