“ชาญศิลป์” ยันสงครามน้ำมันไม่กระทบตั้งสำรอง PTTEP ในไตรมาส 1/63 มองลบระยะสั้น

"ชาญศิลป์" ยันสงครามน้ำมันไม่กระทบตั้งสำรอง PTTEP ในไตรมาส 1/63 มองลบระยะสั้น


นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ร่วงลงแรงในวันนี้จะไม่ส่งผลกระทบให้ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ซึ่งเป็นบริษัทลูกต้องตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์ในไตรมาส 1/63 เพราะมองว่าจะเป็นแค่ช่วงสั้นไม่เกินไตรมาส 2/63 ราคาน้ำมันก็น่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยยังมองราคาน้ำมันดิบที่เหมาะสมปีนี้จะอยู่ที่ราว 50-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ส่วนความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรอย่างรัสเซีย ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงหนักมาแตะราว 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลถึงต่ำกว่าในวันนี้ ก็จะทำให้กลุ่มผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูงในทะเลลึก หรือกลุ่มผู้ผลิตรายใหม่ในแอฟริกาไม่สามารถแข่งขันได้ ทำให้ซัพพลายจะหายไปส่นหนึ่ง ขณะที่กลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่มีต้นทุนการผลิตต่ำก็น่าจะยังสามารถผลิตได้อยู่ ก็จะสอดรับกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันฟื้นกลับขึ้นมา รวมถึงเมื่อมีการประชุมโอเปกและพันธมิตรอีกครั้งหนึ่งทั้งสองฝ่ายก็น่าจะกลับมาเจรจากันได้ เพราะกลุ่มประเทศตะวันออกกลางก็ยังคงต้องพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก

“วันนี้ราคาน้ำมันต่ำมาก เป็นธรรมดากระทบต่อ ปตท.สผ.ที่อยู่ในธุรกิจนี้ แต่กับปตท.จะต่างกัน ปตท.สผ.อาจจะกระทบในช่วงระยะสั้น แต่ปตท.มีต้นไม้หลายต้นเรื่องการค้า ซื้อมาขายไป แต่สิ่งที่จะกระทบคือโรงปิโตรเคมีและโรงกลั่น มีสต็อกที่เก็บไว้สำหรับการผลิต ก็จะมี stock loss แต่เวลาหายไปเป็น 10-20 เหรียญฯก็จะโดนก่อน แต่เราก็ทำเรื่องเฮดจิ้งไว้บางส่วน ส่วน ปตท.สผ.ตอนนี้ก็ต้องเป็น TOP Quartile ในเรื่องของ cost ความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว เรื่องการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ ไม่มีแผน เพราะราคาน้ำมันลดลงเป็นแค่ชั่วคราว ระหว่างไตรมาส 1 ไม่เกินไตรมาส 2 ที่ราคาจะต่ำ”

ขณะที่ผลการดำเนินงานของ PTT ในปีนี้จะดีขึ้นหรือต่ำกว่าปี 62 ยังไม่สามารถตอบได้ แต่มั่นใจว่าจะมีกำไรสูงกว่าปี 58 ที่มีกำไรสุทธิราว 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจากปีนี้ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงจาก 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลมาอยู่ที่ต่ำกว่า 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ปี 58 ราคาน้ำมันดิบร่วงจากกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่กว่า 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งปรับลดลงแรงมาก และปีนี้ค่าการกลั่นและมาร์จิ้นปิโตรเคมีก็ดีขึ้นกว่าปี 62 รวมทั้งธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีไม่มีการปิดซ่อมบำรุงในปีนี้ด้วย

ทั้งนี้ ปตท.ไม่มีแผนที่จะเข้าไปพยุงราคาหรือซื้อหุ้นคืน แม้ปัจจุบันราคาหุ้น PTT ลงไปต่ำสุดที่ 26.75 บาท/หุ้นในวันนี้ก็ตาม โดยจะปล่อยให้ราคาเป็นไปตามตลาด เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าผลประกอบการดี ผู้ถือหุ้น PTT ก็จะกลับเข้ามาลงทุนเอง  และที่ผ่านมาปตท.ก็มีการจ่ายปันผลในอัตรา 40-50% ของกำไรสุทธิมาตลอดเกือบ 20 ปี

ส่วนธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีในกลุ่ม PTT ทั้ง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC , บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC จะมีผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1/63 จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวแรง

อย่างไรก็ดี การใช้น้ำมันน้ำมันในช่วงไตรมาส 1/63 ยังไม่ดีนัก เพราะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบกับภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์ในช่วงไตรมาส 2-3 ก็น่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันขายปลีกในปัจจุบันนับว่าอยู่ในระดับต่ำ การจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดราคาน้ำมันนั้นเห็นว่าภาครัฐสามารถดำเนินการได้โดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของกระทรวงพลังงาน

สำหรับการช่วยเหลือด้านราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นั้น ปตท.ให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ เพื่อบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยเบื้องต้นปตท.จะช่วยเหลือในวงเงิน 30-60 ล้านบาท ช่วงเวลา 3-6 เดือนตั้งแต่เดือนเม.ย. แต่การดำเนินการยังขึ้นกับนโยบายของกระทรวงพลังงาน

นอกจากนี้ PTT ยังได้เสนอให้รัฐบาลลดสำรองน้ำมันดิบทางกฏหมายของโรงกลั่นน้ำมันลงครึ่งหนึ่งจากปัจจุบัน 6% และปรับเปลี่ยนสำรองน้ำมันสำเร็จรูปที่ปัจจุบันกำหนดสำรอง 1% โดยควรปรับให้เป็นไปตามภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยให้สำรองน้ำมันสำเร็จรูปเฉพาะกลุ่มดีเซลเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสำรองกลุ่มเบนซิน เนื่องจากในอนาคตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเข้ามาแทนกลุ่มเบนซินเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กลุ่มดีเซลยังมีความจำเป็นสำหรับการเดินทาง รถบรรทุกและเครื่องบิน ดังนั้น ปริมาณสำรองกลุ่มดีเซลต้องมีสัดส่วนที่สูงกว่าน้ำมันดิบ

Back to top button