ผ่อนคลาย(บ้าง)ได้แล้ว
จังหวัดต่าง ๆ ออกมาตรการเข้มงวดรับสงกรานต์ ทั้งห้ามขายเหล้าเบียร์ บังคับใส่หน้ากาก ปิดเมือง ห้ามเข้า เอาแท่งคอนกรีตมากั้นถนน ราวกับนครรัฐโบราณยุค “ห่าลง”
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
จังหวัดต่าง ๆ ออกมาตรการเข้มงวดรับสงกรานต์ ทั้งห้ามขายเหล้าเบียร์ บังคับใส่หน้ากาก ปิดเมือง ห้ามเข้า เอาแท่งคอนกรีตมากั้นถนน ราวกับนครรัฐโบราณยุค “ห่าลง”
ทั้งที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลง เหลือสองหลัก มีแนวโน้มต่ำห้าสิบ จนบางคนคำนวณว่าถ้าลดด้วยเปอร์เซ็นต์ขนาดนี้จะเป็นศูนย์ในเดือนมิถุนา
คณิตศาสตร์อีกละ ครั้งก่อนก็กราฟ 33% สามแสนห้า เอา % คิดไม่ได้หรอก ต้องมองด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ เข้าใจมาตรการควบคุมโรค เผลอ ๆ จะหมดเร็วกว่า
ถ้าดูตัวเลข ศบค.แถลงรายวัน ผู้ติดเชื้อมี 3 กลุ่มใหญ่กลุ่มแรก ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยเดิม กลุ่มสอง คนเดินทางจากต่างประเทศ บุคลากรทางการแพทย์ อาชีพเสี่ยง ไปสถานที่ชุมชน กลุ่มสาม คนกลับจากต่างประเทศที่อยู่ในสถานที่กักตัวของรัฐ
แทบทุกกลุ่มอยู่ในการควบคุม คนกลับจากต่างประเทศก็โดนกักหมดใครติดเชื้อก็ติดตามกักญาติ ที่โผล่มาเองมีแค่ “อาชีพเสี่ยง” ทำงานผับ สถานบริการ และผู้ไปสถานที่ชุมชน ห้าง ตลาดนัด ที่ท่องเที่ยว แต่หลังปิดสถานที่เสี่ยงมา 3 สัปดาห์ ตัวเลขก็เหลือวันละ 2-3 คน
แล้วหากแยกพื้นที่ จะเห็นว่าพื้นที่เสี่ยงยังไว้ใจไม่ได้ คือพื้นที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ภูเก็ต พัทยา กับ 4 จังหวัดชายแดนใต้ที่คนกลับจากพิธีศาสนา (จังหวัดเหล่านี้สาธารณสุขกำลังตรวจเชื้อเชิงรุก) ส่วนกลุ่มสนามมวย ผับทองหล่อ ก็เหลือแต่ผู้ใกล้ชิดที่ติดเชื้อต่อมา และใกล้จะหมดรอบแล้ว
พูดอีกอย่างว่า ณ วันนี้ โอกาสที่คนทั่วไปจะติดเชื้อจากการไปเดินตลาด ซูเปอร์ ร้านสะดวกซื้อ เหลือน้อยมาก น้อยนิด แล้วทุกคนก็ใส่หน้ากากป้องกัน
เช่นเดียวกับคนเดินทางข้ามจังหวัด ถ้าไม่ได้มาจากพื้นที่เสี่ยง คนจังหวัดอื่นที่เหลือ ก็เสี่ยงน้อยมากเท่า ๆ กัน คนมาทำงานกรุงเทพฯ กลับหมู่บ้านบุรีรัมย์ ก็มีโอกาสแพร่เชื้อน้อยมาก เท่า ๆ กับคนไปซื้อของในเมืองกลับเข้าหมู่บ้าน
มันไม่เหมือนตอนคนแห่กลับวันที่ 21 มี.ค. ตอนนั้นยังปะปนด้วยคนทำงานผับ สถานบริการ สถานที่แออัด คนใกล้ชิดผู้ติดเชื้อกลุ่มต่าง ๆ แต่ตอนนี้คนถูกกักตัว 14 วันซึ่งน่าจะเกินล้าน พ้นระยะแสดงอาการไปแล้ว
พูดอย่างนี้ไม่ใช่ชวนให้ประมาท เพราะมาตรการรักษาระยะห่าง อยู่บ้าน ใส่หน้ากาก ยังต้องทำกันต่อไป การเปิดห้างเต็มรูปแบบ โรงหนัง คอนเสิร์ต สนามมวย ผับบาร์ นวด ฯลฯ ต่อให้ตัวเลขเป็นศูนย์ก็ยังไว้ใจไม่ได้ ต้องมีมาตรการกำกับจนกว่าจะพบวัคซีน
แต่จำเป็นไหมที่ต้องห้ามขายสินค้า จำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ มือถือ ซ่อมบ้าน ฯลฯ ซึ่งไม่ได้เพิ่มความแออัดนัก และปิดมาเป็นเดือน ผู้บริโภคก็ต้องการ
การเดินทางข้ามจังหวัด คนโคราชจะไปขอนแก่น คนเชียงรายจะไปลำปาง หรือคนกรุงเทพฯ จะไปลพบุรี ถ้าไม่มีประวัติเกี่ยวข้องผู้ติดเชื้อ ก็ไม่ใช่ “ผีห่า” หรอก คนมีภาระจำเป็น ติดต่อค้าขาย ทำธุระหรือคนทำงานกลับบ้านต่างจังหวัด มีเป็นจำนวนมากที่กำลังเดือดร้อน
ไม่ต้องพูดถึงเคอร์ฟิวสี่ทุ่มตีสี่ ซึ่งเปล่าประโยชน์ แต่ประยุทธ์ก็ยังยกคนฝ่าฝืนมาอ้าง ว่าสร้างผลกระทบให้คนหาเช้ากินค่ำ รัฐบาลก็รู้ว่ากระทบคนจำเป็นต้องเดินทาง กระทบไปถึงโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภค ต้องหยุดหมด
แต่ยังไปอ้างเด็กแว้น คนเมา ปาร์ตี้เสพยา หรือบ่อนพนัน มาเป็นเหตุเคอร์ฟิว ทั้งที่กฎหมายก็มีให้จับ ไม่จำเป็นต้องตั้งด่านจับคนทั่วไป
หลังวันที่ 15 พ้นสงกรานต์ที่รัฐบาลอ้างว่ากลัวคนกลับบ้าน กลัวคนเมาสังสรรค์ มาตรการต่าง ๆ ที่ล้นเกิน เมื่อเทียบกับคนติดเชื้อลดลง จะทำให้ประชาชนยิ่งอึดอัด เสียงเรียกร้องให้ผ่อนคลาย เพื่อให้พอกลับมาใช้ชีวิตได้ พอทำมาหากินได้ ก่อนจะตายกันหมด จะเริ่มประดัง
แต่รัฐบาลคงไม่ยอม คงลากยาวถึงสิ้นเดือนกลัวถูกมองว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินเสียของ